🍈 “ทุเรียนไทย” ครองตลาดจีน!...

🍈 “ทุเรียนไทย” ครองตลาดจีน! เกษตรกรรุ่นใหม่ปรับสวนอย่างไรให้ได้ GAP และผลผลิตคุณภาพสูง

บทนำ

ทุเรียนไทยได้รับการขนานนามว่าเป็น **“ราชาแห่งผลไม้เขตร้อน” (King of Fruits)** และกลายเป็นสินค้าส่งออกสำคัญของประเทศไทย โดยเฉพาะตลาด **ประเทศจีน** ที่มีความต้องการบริโภคทุเรียนไทยเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องทุกปี จากข้อมูลของ **กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (DITP, 2024)** ระบุว่า ไทยครองส่วนแบ่งตลาดทุเรียนในจีนกว่า **95% ของการนำเข้าทั้งหมด** ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความได้เปรียบของเกษตรกรไทยในตลาดโลก

อย่างไรก็ตาม การรักษามาตรฐานและคุณภาพของผลผลิตเพื่อให้ผ่านเกณฑ์ **GAP (Good Agricultural Practices)** และข้อกำหนดด้านความปลอดภัยอาหาร (Food Safety) ของจีน ถือเป็นปัจจัยสำคัญที่เกษตรกรรุ่นใหม่ต้องให้ความสำคัญ หากต้องการส่งออกทุเรียนอย่างยั่งยืน

สถานการณ์การส่งออกทุเรียนไทยสู่ตลาดจีน

ในปี 2024 การส่งออกทุเรียนไทยไปจีนมีมูลค่าสูงถึงกว่า **150,000 ล้านบาท** (กรมศุลกากร, 2024) โดยจังหวัดที่เป็นแหล่งผลิตหลัก ได้แก่ จันทบุรี ระยอง ตราด ชุมพร และนครศรีธรรมราช ซึ่งมีการพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตและระบบการรับรองมาตรฐาน GAP อย่างต่อเนื่อง

ตลาดจีนมีแนวโน้มเติบโตจาก 3 ปัจจัยสำคัญ ได้แก่

1. การบริโภคผลไม้เมืองร้อนที่เพิ่มสูงขึ้น โดยเฉพาะในเขตเมืองใหญ่ของจีน
2. ความนิยมทุเรียนสายพันธุ์หมอนทองและก้านยาว ที่มีรสชาติหวานมัน กลิ่นหอมเฉพาะตัว
3. การเปิดเส้นทางโลจิสติกส์ผ่านรถไฟจีน–ลาว ทำให้ขนส่งผลไม้ไทยถึงจีนได้ภายใน 2–3 วัน

GAP คืออะไร และทำไมจึงสำคัญต่อเกษตรกรส่งออก

**GAP (Good Agricultural Practices)** คือ มาตรฐานการปฏิบัติทางการเกษตรที่ดี เพื่อให้ได้ผลผลิตที่ปลอดภัย มีคุณภาพ และสามารถตรวจสอบย้อนกลับได้ (สำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ, มกอช.)

เกษตรกรที่ต้องการส่งออกทุเรียนไปจีนจำเป็นต้องมีใบรับรอง GAP เนื่องจาก

* ช่วยให้ผลผลิตปลอดภัยจากสารเคมีตกค้าง
* สร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภคและผู้นำเข้า
* เพิ่มโอกาสการขายและราคาที่ดีกว่า

แนวทางการปรับสวนให้ได้ GAP และผลผลิตคุณภาพสูง

1. การจัดการสวนอย่างเป็นระบบ

* จัดทำ **แผนผังสวน** และ **ทะเบียนเกษตรกร** เพื่อบันทึกข้อมูลการปลูก
* วางระบบน้ำอย่างมีประสิทธิภาพ เช่น **น้ำหยดควบคุมด้วย IoT**
* รักษาความสะอาดของพื้นที่ผลิตและเครื่องมือเกษตร

2. การใช้ปุ๋ยและสารเคมีอย่างเหมาะสม

* ใช้ **ปุ๋ยอินทรีย์หรือชีวภาพ** ร่วมกับปุ๋ยเคมีตามคำแนะนำของนักวิชาการ
* หลีกเลี่ยงการใช้สารเคมีที่ไม่ได้ขึ้นทะเบียนกับกรมวิชาการเกษตร
* จัดทำสมุดบันทึกการใช้สารเคมีทุกครั้ง

3. การควบคุมคุณภาพผลผลิต

* เก็บเกี่ยวในระยะที่เหมาะสม (อายุผลประมาณ 110–120 วัน หลังดอกบาน)
* ตรวจสอบเปอร์เซ็นต์ความแก่ของผลและความหนาแน่นเนื้อ
* คัดแยกผลที่ช้ำหรือเสียหายออกก่อนการส่ง

4. การพัฒนาเทคโนโลยีหลังการเก็บเกี่ยว

* ใช้ **ห้องเย็นควบคุมอุณหภูมิ 13–15°C** เพื่อยืดอายุผลผลิต
* บรรจุภัณฑ์ที่ได้มาตรฐานส่งออก พร้อม QR Code สำหรับตรวจสอบย้อนกลับ
* ใช้ระบบขนส่งเย็น (Cold Chain Logistics) เพื่อลดความเสียหาย

กรณีศึกษา: “กลุ่มวิสาหกิจชุมชนทุเรียนคุณภาพ จันทบุรี”

กลุ่มเกษตรกรรุ่นใหม่ในจังหวัดจันทบุรีได้รับการส่งเสริมจาก **กรมส่งเสริมการเกษตร** และ **สำนักงาน มกอช.** ในการพัฒนาสวนให้ได้มาตรฐาน GAP ร่วมกับระบบ **Traceability Platform** ที่สามารถตรวจสอบย้อนกลับได้แบบเรียลไทม์ ส่งผลให้ทุเรียนที่ผลิตมีราคาสูงกว่าตลาดทั่วไปเฉลี่ย 20% และสามารถส่งออกตรงไปยังจีนโดยไม่ต้องผ่านพ่อค้าคนกลาง

บทสรุป

“ทุเรียนไทย” ยังคงครองตลาดจีนได้อย่างแข็งแกร่ง แต่ความยั่งยืนของการส่งออกขึ้นอยู่กับการพัฒนา **มาตรฐานการผลิตที่มีคุณภาพและตรวจสอบได้** โดยเฉพาะการมีใบรับรอง GAP และการบริหารจัดการสวนอย่างมีระบบ

เกษตรกรรุ่นใหม่ควรผสมผสาน **เทคโนโลยีเกษตรสมัยใหม่ (Smart Farming)** เข้ากับภูมิปัญญาท้องถิ่น เพื่อสร้างผลผลิตที่มีคุณภาพสูง ตอบโจทย์ความต้องการของตลาดโลกได้อย่างยั่งยืน

🔍 อ้างอิง (References)

* กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ. (2024). *รายงานสถานการณ์การส่งออกผลไม้ไทยไปจีน ปี 2567.*
* กรมศุลกากร. (2024). *ข้อมูลมูลค่าการส่งออกผลไม้สด.*
* สำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ (มกอช.). (2566). *คู่มือมาตรฐาน GAP สำหรับพืชอาหาร.*
* กรมส่งเสริมการเกษตร. (2566). *แนวทางการผลิตทุเรียนคุณภาพส่งออก.*
* ThaiDurian Exporters Association. (2024). *Durian Export Trend Report.*

#ทุเรียนไทยครองตลาดจีน #เกษตรกรรุ่นใหม่ #สวนทุเรียนGAP #ส่งออกผลไม้ไทย #DurianThailand #ทุเรียนหมอนทอง #เกษตรแม่นยำ #ผลไม้ส่งออก #ตลาดจีน #เกษตรยั่งยืน
รูปภาพประกอบ
🌟 แนะนำ ปุ๋ย ยาปราบฯ คุณภาพดี
ผลผลิตเพิ่ม ราคาประหยัด! คลิกเลย!
← กลับหน้าบทความ
👁️ ผู้เยี่ยมชมทั้งหมด: 269630