กระเทียม พืชสมุนไพรในครัว สรรพคุณทางยาช่วยลดความดันโลหิต

FK Talk เจาะประเด็นเกษตร วันอังคารที่ 16 ตุลาคม 2555

กระเทียม พืชสมุนไพรในครัว สรรพคุณทางยาช่วยลดความดันโลหิต กระเทียม พืชสมุนไพรตัวเก่งในครัว มีชื่อเรียกภาษาท้องถิ่นแตกต่างกันออกไปไม่ว่าจะเป็น หัวเทียม,หอมเทียม,หอมขาว, กะติมซอ กระเทียม เป็นพืชผักสวนครัว มีลำต้นใต้ดินเรียกว่าเป็นส่วนหัวกลมป้อม หัว กระเทียม จะมีหลายกลีบติดกันแน่น ถ้ามีหัวเดียวเรียกว่า กระเทียม โทน วิธีการปลูก กระเทียม ขึ้นได้ง่ายในช่วงปลายฝนต้นหนาว เทคนิคการทำให้งอกเร็วขึ้น คือนำ กระเทียม ห่อด้วยผ้าขาวไปแช่น้ำไว้ 1 คืนเพื่อให้รากงอกเร็วขึ้น นิยมปลูกให้สูงกว่าพื้นดินหรือการยกร่อง กระเทียม ชอบอากาศเย็นและดินร่วนซุยต้องการน้ำสม่ำเสมอ แต่พอถึงตอนต้นแก่และหัวโตเต็มที่จะไม่ต้องการน้ำ ปล่อยให้หัว กระเทียม แห้ง อายุ 100 วันขึ้นไป ขุดเอาหัวมาตากแดดให้แห้งเก็บไว้ใช้ได้นานหลายเดือนโดยไม่เน่าหรือขึ้นรา ดังนั้นไม่แนะนำให้ปลูกในต้นฤดูฝนเพราะมีน้ำมากเกินไป ถึงช่วงที่ กระเทียม แก่ อาจทำให้หัวเน่าได้

สรรพคุณทางยา ใช้หัว กระเทียม ที่มีรสเผ็ดร้อนฉุน รักษากลากเกลื้อน ท้องอืด ลดความดันโลหิต ลดน้ำตาลในเลือดได้

1. การใช้ กระเทียม รักษาท้องอืด แน่นจุดเสียด นำ กระเทียม 5-6 กลีบ บดให้ละเอียด เติมน้ำส้มสายชู 2 ช้อนโต๊ะ เกลือและน้ำตาลนิดหน่อย ผสมให้เข้ากันกรองเอาแต่น้ำดื่มหรือจะนำเอาเฉพาะเนื้อของ กระเทียม 5 กลีบ ซอยให้ละเอียดกินกับน้ำหลังอาหารทุกมื้อ แก้ป้วดท้องอาหารไม่ย่อย เพราใน กระเทียม มีเอนไซม์ช่วยย่อยอาหารได้

2. ใช้ กระเทียม รักษาโรคกลากเกลื้อน ให้นำ กระเทียม มาบดให้ละเอียด แล้วพอกไว้ที่กลากเกลื้อน ใช้ผ้าปิดแผลทั้งไว้ 20 นาทีแล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาดหรือใช้ใบมีดขูดที่กลากเกลื้อนให้มีเลือกซึมเล็กน้อยแล้วใช้ทา กระเทียม ลงไป ทำ 10 วันก็หาย (ระวังแสบ)

3. ใช้ กระเทียม ลดความดันโลหิตและลดน้ำตาลในเลือด โดยการกิน กระเทียม สดครั้งละ 5 กรัมวันละ 3 เวลาหรือหลังอาหาร ช่วยลดไขมันในเลือดและทำให้ความดันโลหิตลดลง และพบว่าคอเลสเตอรอลลดลงด้วย

4. หากไม่ชอบกิน กระเทียม สด สามารถกิน กระเทียม ผงอัดเม็ดหรือน้ำมัน กระเทียม ในแคปซูล ครั้งละ 2 แคปซูล วันละ 3 เวลาหลังอาหารแทนได้

ข้อความระวัง กระเทียม ที่เก็บไว้นานจะทำให้สารสำคัญลดลงคือ อัลลิซินและเอนไซม์อัลลิเนส สลายไปทำให้คุณสมบัติทางยาลดลง คนที่เป็นโรคกระเพาะ อย่ากิน กระเทียม สดตอนท้องว่างเพราะอาจทำให้เกิดการระคายเคืองกระเพาะอาหาร

(ข้อมูลจาก จิตรดา ชมพู พ.ศ.2549)

ส่งความคิดเห็น