data-ad-format="autorelaxed">
UN หนุนมันสำปะหลัง ปลูกวิธีใหม่ในเวียดนามผลผลิตต่อไร่ 5 เท่า
เกษตรกรตัดหัวมันสำปะหลังด้วยเครื่องจักรที่ไร่มันแห่งหนึ่งใน จ.หว่าบี่ง (Hoa Binh) ติดกับกรุงฮานอย วันที่ 24 ก.พ.2555 องค์การอาหารและการเกษตรแห่งสหประชาชาติแถลงในวันพุธ 29 พ.ค.นี้ว่า การปลูกด้วยวิธีใหม่ในเวียดนามให้ผลผลิตต่อไร่สูงกว่าเดิมเกือบ 5 เท่าตัว เป็นมิตรต่อดินกับสภาพแวดล้อมอีกด้วย เอฟเอโอยังกล่าวอีกว่ามันสำปะหลังมีศักยภาพสูงที่จะเป็น "พืชอาหารแห่งศตวรรษที่ 21" ไม่ใช่ "อาหารคนจน" อีกต่อไป.
องค์การอาหารและการเกษตรแห่งสหประชาชาติ (Food and Agriculture Organization) ได้ออกสนับสนุนการปลูกมันสำปะหลัง โดยระบุว่า จะเป็นพืชเศรษฐกิจสำหรับเลี้ยงดูประชากรแห่งศตวรรษ มีคุณค่าทางโภชนาการสูง และอาจจะเพิ่มผลผลิตได้ถึง 400% เทียบกับในปัจจุบัน ซึ่งการทดลองปลูกแผนใหม่ในหลายประเทศรวมทั้งเวียดนามได้ผลดีมาก สำนักข่าวเอเอฟพีรายงาน
องค์การนี้กล่าวว่า ตั้งแต่ปี 2543 เป็นต้นมา ทั่วโลกสามารถเพิ่มผลผลิตมันสำปะหลังได้ถึง 60% และวิธีการปลูกแบบใหม่ที่เรียกว่า Save and Grow โดยปลูกหมุนเวียนกับพืชชนิดอื่นๆ เป็นมิตรกับสภาพแวดล้อม และได้ผลผลิตสูงขึ้น
การทดลองปลูกในเวียดนามพบว่า เกษตรกรสามารถเพิ่มผลผลิตได้จาก 8.5 ตันต่อเฮกตาร์ (6.25 ไร่) เป็น 36 ตัน หรือเกือบ 5 เท่าตัว
เทคนิค Save and Grow นี้ เป็นการปลูกโดยลดการใช้สารเคมี ลดผลกระทบต่อสภาพดินจากการไถแบบทั่วไป และการปลูกพืชหมุนเวียนกับมันสำปะหลังทำให้ลดการใช้ยาฆ่าแมลงลงได้ การทดลองด้วยวิธีใหม่นี้ในสาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโก และโคลัมเบีย ทำให้ได้ผลผลิต “ดีอย่างน่าตื่นเต้น” เอฟเอโอกล่าว
หัวมันสำปะหลังอุดมด้วยคาร์โบไฮเดรต และใบมีโปรตีน ธาตุเหล็ก แคลเซียม วิตามินเอและดี ซึ่งสามารถเป็นทางเลือกใช้แทนข้าสาลี หรือข้าวโพดได้ ส่วนอื่นๆ ของต้นมันยังใช้เป็นอาหารสัตว์ การทดลองยังพบว่า สัตว์เลี้ยงที่กินอาหารทำจากมันสำปะหลังต้านทานโรคได้ดีขึ้น เอฟเอโอกล่าว
มันสำปะหลังจึงมีศักยภาพที่ใหญ่โตมาก และสามารถเปลี่ยนสภาพ “จากการเป็นอาหารของคนจนให้เป็นพืชอาหารแห่งศตวรรษที่ 21 ได้” เอฟเอโอระบุในคำแถลงที่ออกจากสำนักงานใหญ่ในกรุงโรมประเทศอิตาลี
“ด้วยวิธี Save and Grow ประเทศกำลังพัฒนาต่างๆ สามารถเลี่ยงความเสี่ยงจากการปลูกแบบไม่ยั่งยืนได้ ในขณะที่พบว่ามันสำปะหลังมีศักยภาพที่จะให้ผลผลิตได้สูงขึ้น ซึ่งจะช่วยลดความหิวโหย และลดความยากจนในเขตชนบทลงได้” เอฟเอโอกล่าว
ในย่านเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มันสำปะหลังได้เป็นสินค้าส่งออกสำคัญรายการหนึ่งของไทยในช่วงกว่า 20 ปีที่ผ่านมา ในอนุภูมิภาคนี้ยังมีการปลูกอย่างแพร่หลาย บริษัทของไทยหลายแห่งกำลังขยายการปลูกเข้าสู่ประเทศเพื่อนบ้าน
มันสำปะหลังปลูกกันแพร่หลายในจังหวัดภาคเหนือ และภาคตะวันตกเฉียงเหนือกัมพูชาใกล้กับชายแดนไทย ตั้งแต่ จ.บ้านใต้มีชัย (Banteay Mean Chey) พระตะบอง อุดรมีชัย เสียมราฐ และ จ.พระวิหาร
สื่อของทางการพม่าเคยรายงานเกี่ยวกับการขยายเนื้อที่ปลูกมันสำปะหลังนับหมื่นๆ เฮกตาร์ในเขตตะนาวศรี ทางตอนใต้ของประเทศ
ปัจจุบัน บริษัทลาว-อินโดไชน่ากรุ๊ป ซึ่งเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์นครเวียงจันทน์ลาว เป็นผู้ผลิตรายใหญ่ที่สุดในประเทศ กลุ่มนี้เพียงกลุ่มเดียวมีเนื้อที่ไร่มันในโครงการถึง 13,500 เฮกตาร์ (กว่า 84,000 ไร่) ส่วนใหญ่อยู่ในแขวงภาคกลางคือ แขวงเวียงจันทน์ บอลิคำไซ และในเขตนครเวียงจันทน์ และมีโรงงานผลิตแป้งมันขนาด 2,500 ตันต่อวันอีกด้วย สำนักข่าวสารปะเทดลาวรายงานก่อนหน้านี้
นอกจากนั้น บริษัทจากประเทศไทยแห่งหนึ่งได้เซ็นบันทึกช่วยความจำกับรัฐบาลลาวในปี 2554 เข้าสำรวจพื้นที่ปลูกมันสำปะหลัง อ้อย และปาล์มน้ำมัน ในเขตเมืองหินเหิบ แขวงเวียงจันทน์
ส่วนในเวียดนาม มันสำปะหลังได้เป็นพืชเศรษฐกิจสำหรับส่งออกที่ทำรายได้ในอันดับต้นๆ มาหลายปี ส่วนหนึ่งยังส่งป้อนโรงงานผลิตอาหารสัตว์หลายแห่งในประเทศ และแป้งมันยังเป็นส่วนประกอบของอาหารคาวหวานที่ได้รับความนิยมหลายชนิด ทำให้ผลผลิตจากหัวมันเป็นที่ต้องการออย่างสูง.
พ่อค้าในนครเวียงจันทน์ออกรับซื้อหัวมันจากเกษตรกรถึงบ้านเพื่อส่งป้อนโรงงานผลิตเพื่อส่งออกในภาพจากเดือน ส.ค.2554 สื่อของทางการกล่าวว่าในช่วงปี 2555-2556 นี้บริษัทลาว-อินโดไชน่ากรู๊ปผู้ผลิตรายใหญ่ที่สุดจะเพิ่มผลผลิตอีก 30% ขณะที่นักลงทุนจากไทยเริ่มเข้าหาลู่ทางปลูกในลาว องค์การอาหารและการเกษตรแห่งสหประชาชาติได้ออกสนับสนุนการปลูกมันสำปะหลังเป็นอาหารเพื่อแก้ไขความยากจนในเขตชนบท.
อ้างอิง: manager.co.th