King Fruits กล้วยหอมทองขึ้นห้าง ต้นแบบเกษตรกรนักสู้ก้าวสู่เบอร์ 1 ไทย

เมื่อผลผลิตอย่างกล้วยหอมทองกลายเป็นที่ต้องการของตลาด ณ ปัจุบันนี้ ส่งผลให้เกษตรกรที่คร่ำหวอดในวงการกล้วยหอมทองมาก่อนตั้งแต่ 15 ปีที่แล้วได้เปรียบในเรื่องการประสบการณ์ เข้าใจตลาดอย่างถ่องแท้ ส่งผลให้ล่าสุด “King Fruits” ก้าวเข้าสู่การเป็นเกษตรกรที่มีผลผลิตกล้วยหอมทองมากเป็นอันดับต้นๆ ของไทย

       เรียกได้ว่าสองสามีภรรยาคู่นี้ “เกรียงศักดิ์-เสาวณี วิเลปะนะ” เป็นนักสู้ตัวจริง ที่เลือกเอาดีกับการเป็นเกษตรกร พร้อมพิสูจน์ให้เห็นว่าหากตั้งใจจริงในอาชีพนี้ก็สามารถสร้างรายได้เป็นกอบเป็นกำได้ 

        เส้นทางธุรกิจของกล้วยหอมทอง แบรนด์ “คิง ฟรุทส์” (King Fruits) เรียกว่าไม่ธรรมดา เพราะกว่าจะมีวันนี้ได้ทั้งเขาและเธอล้มลุกคลุกคลานมาไม่น้อย ตั้งแต่กล้วยหอมทองยังไม่เป็นที่ต้องการของตลาดมากอย่างทุกวันนี้ เริ่มจากครอบครัวนายเกรียงศักดิ์ผู้เป็นสามียึดอาชีพเกษตรกรมาตั้งแต่รุ่นอากง โดยมีสวนส้มเป็นของตัวเองใน จ.ปทุมธานี กระทั่งย่างเข้าสู่ปี พ.ศ. 2543 สวนส้มเกิดโรคพืชในย่านรังสิต ทำให้ผลผลิตเสียหาย ส้มหายไปจากตลาดทันที เกษตรกรได้รับความเดือดร้อนกันถ้วนหน้า 

        ทำให้ครอบครัววิเลปะนะต้องหาทางออกด้วยการหาพืชชนิดอื่นมาปลูกชดเชยรายได้ที่สูญเสียไป ซึ่ง “กล้วยหอม” เป็นสิ่งที่ทายาทรุ่นที่ 3 อย่างนายเกรียงศักดิ์คิดทำ แต่ก็ถูกติติงจากครอบครัวด้วยความเชื่อที่ว่า 'กล้วยเป็นพืชล้มลุก หากปลูกไป ชีวิตก็จะล้มลุกคลุกคลานตั้งตัวไม่ได้ น่าจะเลือกปลูกไม้ยืนต้น' แต่เขากลับมองว่ากล้วยเป็นพืชที่ให้ผลผลิตเร็ว ภายใน 1 ปีก็ได้เงินมาหมุนเวียน ใช้จ่ายหนี้สินที่สูญไปกับสวนส้มนอกจากนั้นเขายังปลูกผักแซมในสวนกล้วย เน้นพืชอายุสั้นประมาณ 40-50 วันก็เก็บผลผลิตได้ 

        ผลผลิตล็อตแรกถูกนำไปฝากขายที่แผงขายผลไม้ของมารดาในตลาดสี่มุมเมือง รวมถึงไปเช่าแผงที่ตลาดไทเพื่อจำหน่ายกล้วยหอมทองด้วยตนเอง ก็ได้รับการตอบรับดีจากลูกค้าในเรื่องคุณภาพและราคา รวมถึงมีพ่อค้าคนกลางมาติดต่อขอซื้อที่สวนโดยตรงบ้าง

       แต่การทำธุรกิจลักษณะนี้ก็เกิดปัญหามาโดยตลอด เพราะหากเป็นช่วงกล้วยล้นตลาดก็ไม่มีพ่อค้ามารับซื้อ และถูกกดราคา แต่พอกล้วยขาดตลาดก็มีสินค้าไม่พอขาย ขณะที่ทางคิง ฟรุทส์ ก็ขยายพื้นที่ไปเรื่อยๆ เพราะนายเกรียงศักดิ์เชื่อว่าหากคิดดำเนินวิถีเกษตรแล้วต้องทำแบบ 'แปลงใหญ่' ถึงจะคุ้มค่า ซึ่งจะมีเงินทุนหมุนเวียนใช้จ่ายตลอดปีได้พอดิบพอดี 

        “การทำเกษตรเป็นธุรกิจที่ต้องใช้จ่ายด้วยเงินสดทั้งหมด ไม่มีเครดิต ดังนั้นต้องทำให้มีรายได้ทุกวันจากผลผลิตที่เก็บเกี่ยวได้ ฉะนั้นหากปลูกในพื้นที่เล็กๆ จะทำให้รายได้ไม่ครอบคลุมกับรายจ่ายที่เสียไป ซึ่งการทำแปลงใหญ่จะเป็นทางรอดที่ดีที่สุด”

       เมื่อกล้วยหอมทอง 'คิง ฟรุทส์' เผชิญกับปัญหาด้านการตลาดที่การรับซื้อสินค้าไม่แน่นอน ทำให้ “เสาวณีย์” ภรรยาผู้ดูแลด้านการตลาด เกิดแนวคิดที่จะนำส่งกล้วยหอมทองขึ้นห้าง จำหน่ายในซูเปอร์มาร์เกต จึงเข้าไปติดต่อกับห้างค้าปลีกรายใหญ่เพื่อส่งกล้วยหอมทองไปจำหน่าย และพวกเขาก็ได้รับโอกาสนั้น ซึ่งเป็นเทศกาลตรุษจีนพอดี ทำให้สินค้าได้รับการตอบรับดี ขายได้ราคา และหลังจากนั้นกล้วยหอม คิง ฟรุทส์ ก็กลายเป็นขาประจำส่งผลผลิตไปขายในห้างค้าปลีกนี้เรื่อยมา 

        ปัจจุบันพื้นที่ปลูกกล้วยหอม 'คิง ฟรุทส์' มีกว่า 3,500 ไร่ กระจายอยู่ 6 จังหวัด ได้แก่ ปทุมธานี (สวนส้มเดิม) พระนครศรีอยุธยา สระบุรี กำแพงเพชร และนครนายก ซึ่งแต่ละพื้นที่อยู่ไม่ไกลจาก จ.ปทุมธานีมากนัก ประมาณ 50-100 กิโลกเมตรเท่านั้น ทำให้กลายเป็นเกษตรกรผู้ปลูกกล้วยหอมทองรายใหญ่ของไทย และเป็นหนึ่งในเกษตรกรที่ส่งกล้วยหอมทองเข้าร้านสะดวกซื้อชื่อดังอีกด้วย ภายใต้มาตรฐาน Good Agricultural Practice (GAP) 

        สำหรับแนวคิดในการดำเนินธุรกิจด้านวิถีเกษตรนั้น นายเกรียงศักดิ์ได้เผยว่า ต้องทำให้ดีที่สุด ต้องทำตามใจตลาด และดีต่อสิ่งแวดล้อม เพราะเขาเชื่อว่าต่อไปภาคการเกษตรจะเติบโตได้อีกมาก และคนรุ่นใหม่จะหันมาทำเกษตรกันมากขึ้น ซึ่งคนเหล่านี้จะต้องนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยบริหารจัดการระบบทั้งภายในและนอกองค์กร เพื่อความคล่องตัวในการดำเนินธุรกิจ พร้อมเชื่อมการท่องเที่ยวภาคการเกษตรเข้าไปด้วยเพื่อความยั่งยืนในอนาคต 

        ถือเป็นอีกหนึ่งตัวอย่างของเกษตรกรที่สร้างรายได้เป็นกอบเป็นกำจากวิถีเกษตรที่คนไทยคุ้นเคย ขอเพียงมีความตั้งใจจริง และใส่ใจในงานที่ทำเพื่อผลผลิตที่ดีมีคุณภาพก็สามารถสร้างทรัพย์ในดินได้แล้ว