data-ad-format="autorelaxed">
ปลูกผักขาย
ความสุขของคนเรานั้นไม่เหมือนกัน บางคนชอบอยู่เมืองกรุง ชอบแสงสี แต่กลับกัน บางคนชอบที่จะกลับไปใช้ชีวิตเรียบง่าย สุขกาย สบายใจ ถึงแม้จะเรียนจบปริญญาตรี ซึ่งสามารถหางานดี ๆ ทำได้ แต่กลับเลือกที่จะกลับบ้าน ดังเช่นหนุ่มสถาปนิค (เจ้าของ บ้านไร่ ไออรุณ baan rai i arun) ที่ลาออกจากงานเพื่อไปทำฟาร์มสเตย์ ปลูกผัก อยู่บ้านพร้อมหน้าพร้อมตา พ่อแม่ลูก สุขกาย สบายใจ ไปชมกันเลยครับ
"เสียง ที่เปลี่ยน"
การลาออก จากงาน เเล้วกลับมาอยู่บ้านโดยไม่สมัครงานที่อื่นอีก ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยในสังคมต่างจังหวัด ผมต้องเจอกับคำนินทา เเละคำถามมากมายจากชาวบ้าน (ตกงานเหรอ,ทำไมไม่หางานทำ,อุส่าห์เรียนจนจบปริญญาเเล้วมาปลูกผักขายผักทำไม ฯลฯ)
ตัวผมเองเข้มเเข็งมากพอที่จะทนฟังเสียงเหล่านั้นได้ เเต่สำหรับ เเม่ เมื่อโดนชาวบ้านถามทุกวัน เเม่ก็เริ่มรู้สึก เเละบอกผมว่า ..."ไปสมัครงานเถอะ เเม่อายชาวบ้านเค้า" ณ ตอนนั้น คือเข้าเข้าใจเเม่นะ เเต่เราในฐานะลูก คือเครียดมากที่ต้องทำให้เเม่ไม่สบายใจ ก็ได้เเต่รับฟัง อดทน ก้มหน้า ก้มตา เป็นพ่อค้าขายผัก ทำทุกอย่างเพื่อให้คนเค้ายอมรับ ต่อไป
... ผมเริ่มปรับปรุงเเผงผัก เปลี่ยนร้านค้าโทรมๆในตลาดของเเม่ให้ดีขึ้น ออกแบบเเพ็คเกจเปลี่ยนจากถ้วยโฟม ถุงพลาสติก เป็นกระจาดเเละวัสดุจากธรรมชาติเข้ามาเเทน รวมถึงสร้างเเบรนด์เล็กๆเป็นของตัวเอง ผมอาจจะไม่ได้คิดเป็นนักธุรกิจ เเต่ผมคิดเเบบเด็กถาปัตคนนึง ที่อยากจะนำความรู้ที่มี มาปรับใช้กับอาชีพเกษตรกรให้ได้มากที่สุด
จากวันนั้น จนถึงวันนี้ 2ปีกว่าๆเเล้วครับ ทุกๆวันผ่านไปอย่างมีความหมาย ไปพร้อมๆกับเสียงคำนินทาที่ค่อยๆเริ่มจางหายไป เเม้อาจจะโทรม จะดำ จะคล้ำ ลงไปบ้าง เเต่มันก็คุ้มค่ามากๆกับ เสียงที่เปลี่ยน ....ไป
"ลูกไม่เคยอายใครเลย ที่ต้องมานั่งขายผักอยู่ข้างๆเเม่ เเละในวันนี้ ลูกก็หวังว่าเเม่ก็คงไม่อายใครอีกเเล้วเช่นกัน ที่มีพ่อค้าขายผักคนนี้เป็นลูกของเเม่นะครับ"
source: rakkaset.com/2016/09/blog-post_80.html