[sort by : last post | top views]..
+ โพสเรื่องใหม่ | ^ เลือกหน้า | ค้นคำว่า - ข้าว
632 เรื่อง หน้าละ 10 รายการ 63 หน้า, หน้าที่ 64 มี 2 รายการ

อะมิโนโปรตีนจำเป็นสำหรับพืช 18 ชนิด แรปเตอร์ ตราไดโนเร็กซ์ ปุ๋ยน้ำ บำรุงพืช ปลอดภัยไม่มีเคมีตกค้าง 100% บำรุงพืชทุกชนิด
อะมิโนโปรตีนจำเป็นสำหรับพืช 18 ชนิด แรปเตอร์ ตราไดโนเร็กซ์ ปุ๋ยน้ำ บำรุงพืช ปลอดภัยไม่มีเคมีตกค้าง 100% บำรุงพืชทุกชนิด
อะมิโนโปรตีน แรปเตอร์อะมิโนโปรตีนจำเป็นสำหรับพืช 18 ชนิด
ช่วยในการสร้างฮอร์โมนพืช ทำให้เกิด การสร้างและขยายขนาดของเซลล์
เนื้อเยื่อ ขยายขนาดของเซลล์เนื้อเยื่อ และพัฒนาส่วนต่างๆ ของพืชเจริญ
เติบโตได้อย่างเต็มที่ ผ่านระยะการ ออกดอก และผลได้อย่างสมบูรณ์

ใช้ได้กับพืชทุกชนิด
เพิ่มคุณภาพ ปริมาณผลผลิต
แก้ปัญหาต้นโทร
อนุภาคขนาดเล็ก ดูดซึมง่าย
ช่วยสังเคาระห์แสง และสร้างอาหาร

อะมิโนโปรตีน แรปเตอร์ : ใช้อย่างไร?

1. ผสมน้ำฉีดพ่น พืชผัก
- 10-20 มล. ต่อน้ำ 20 ลิตร
- 10-20 มล. ต่อน้ำ 20 ลิตร
- 10-20 มล. ต่อน้ำ 20 ลิตร
2. นาข้าว พืชไร่ ไม้ผล 20-40 มล. : น้ำ 20 ลิตร
3. ผสมน้ำระบบน้ำหยด 500 มล. : 1 ไร่
4. ควรฉีดพ่น 2 ครั้ง / เดือน
* ไม่ควรฉีดพ่นช่วงระยะพืชออกดอก *
ขายปุ๋ย FK-1 -ปุ๋ยนาข้าว คุณภาพสูง ข้าวแตกกอ โตไว ให้ผลผลิตดี
ขายปุ๋ย FK-1 -ปุ๋ยนาข้าว คุณภาพสูง ข้าวแตกกอ โตไว ให้ผลผลิตดี
ขายปุ๋ย FK-1 -ปุ๋ยนาข้าว คุณภาพสูง ข้าวแตกกอ โตไว ให้ผลผลิตดี
ปุ๋ยน้ำฉีดพ่นนาข้าว FK-1 ประกอบด้วย ธาตุอาหารหลักที่จำเป็นที่สุดสำหรับการเจริญเติบโต และการเพิ่มผลผลิตข้าว ทำให้ข้าวแตกกอใหญ่ ใบเขียว ส่งเสริมผลผลิต ข้าวรวงยาว เมล็ดเต็ม ผลผลิตเพิ่มขึ้นทันทีในรอบการปลูกที่ฉีดพ่น FK-1
อ่าน:3025
พืชเศรษฐกิจ สินค้าสร้างรายได้ในครัวเรือนและประเทศ
พืชเศรษฐกิจ สินค้าสร้างรายได้ในครัวเรือนและประเทศ
พืชเศรษฐกิจ สินค้าสร้างรายได้ในครัวเรือนและประเทศ
ด้วยพื้นที่ของประเทศไทยมีความเหมาะสมในด้านการเกษตรจึงปฏิเสธไม่ได้ว่า พืช คือสิ่งที่ทำให้คนไทยมีอาหารเลี้ยงปากท้องและยังสร้างรายได้กับครัวเรือน ต่อยอดไปจนถึงการสร้างรายได้ให้ประเทศจนกลายเป็น พืชเศรษฐกิจ ที่เกษตรกรจำนวนมากยึดถือเป็นอาชีพ จึงอยากนำเสนอให้กับผู้ที่สนใจหรือคนที่อยากเรียนรู้เกี่ยวกับเรื่องนี้เพื่อโอกาสในการสร้างประโยชน์ต่อตัวเองและประเทศชาติต่อไปในอนาคต

มารู้จักกับพืชเศรษฐกิจของไทย
อย่างที่กล่าวไปว่าพืชถือเป็นปัจจัยสำคัญในการหล่อเลี้ยงชีวิตให้กับคนไทยมาอย่างยาวนาน ซึ่งไม่ใช่แค่การบริโภคเท่านั้น แต่เมื่อปลูกในปริมาณมากขึ้นก็ย่อมสร้างรายได้ให้กับเกษตรมากตามไปด้วย ตั้งแต่อดีตมาจนถึงปัจจุบันมีพืชเศรษฐกิจที่ส่งเสริมอาชีพ ทำเงินให้กับคนในประเทศเป็นจำนวนมาก ทั้งนี้ไม่ใช่หมายถึงการส่งออกพืชเหล่านั้นแบบสด ๆ เพียงอย่างเดียว แต่หลายชนิดยังถูกนำมาแปรรูปเพื่อสร้างประโยชน์และเม็ดเงินได้อีกมากมาย

พืชเศรษฐกิจเหล่านี้ไม่ใช่แค่การบริโภคของคนเพียงอย่างเดียว แต่ยังรวมถึงการถูกนำไปเลี้ยงสัตว์และทำประโยชน์ในด้านอื่น ๆ เพื่อให้เกิดความคุ้มค่ามากที่สุดด้วย นี่คือความโชคดีของประเทศไทยด้วยพื้นที่และสภาพอากาศเหมาะสมจึงสามารถปลูกพืชต่าง ๆ ได้หลากหลายชนิดในแบบที่หลายประเทศไม่เคยทำได้ แหล่งรายได้หลักจึงมักมาจากประเทศพัฒนาแล้วแต่ขาดแคลนด้านการผลิตจึงต้องอาศัยการนำเข้านั่นเอง มารู้จักกับพืชเศรษฐกิจของไทยให้มากขึ้น พร้อมเรียนรู้เรื่องราวอื่น ๆ ไปพร้อมกันได้เลย มีสิ่งที่หลายคนอาจไม่รู้อีกมากทีเดียว

พืชเศรษฐกิจในปัจจุบัน
อย่างที่กล่าวไปว่าหนึ่งในรายได้ที่ช่วยสร้างเศรษฐกิจของประเทศไทยให้ดีขึ้นมาจาก พืชเศรษฐกิจ ดังนั้นบรรดาพืชที่จะกล่าวถึงนี้ยังคงถูกขนานนามให้เป็นพืชเศรษฐกิจในปัจจุบันเหมือนเดิม พร้อมทั้งยังทำเงินให้กับเกษตรกรและประเทศอย่างต่อเนื่อง จะมีอะไรบ้างมาดูกันเลย

ข้าว
ข้าว คือ อาหารหลักของคนไทยและผู้คนอีกจำนวนมาก จึงต้องยอมรับว่ายังคงเป็นพืชเศรษฐกิจในปัจจุบันที่ได้รับความต้องการจากประเทศคู่ค้ามหาศาลในแต่ละปี โดยเฉพาะพันธุ์ข้าวที่ถูกยกย่องว่าดีสุดของโลกอย่าง ข้าวหอมมะลิ ด้วยรสสัมผัสอันเนียนนุ่ม บวกกับรสชาติที่มีความหวานในตัว จึงไม่ใช่เรื่องแปลกหากใครที่ได้ทานต่างก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่าอร่อย ซึ่งจริง ๆ แล้วข้าวอันถือเป็นพืชเศรษฐกิจหลักของเมืองไทยนั้นไม่ได้มีแค่ข้าวหอมมะลิเพียงอย่างเดียว แต่ยังมีสายพันธุ์อื่น ๆ ด้วย เช่น ข้าวเหนียว ข้าวหอม ข้าวขาวพื้นแข็ง เป็นต้น ซึ่งพันธุ์ข่าวที่ถูกส่งออกมากที่สุดได้แก่ ข้าวขาวพื้นแข็ง คิดเป็นเกือบ 50% ของข้าวพันธุ์อื่น ๆ โดยกลุ่มประเทศที่เป็นคู่ค้ารายใหญ่ในการส่งออกข้าวของประเทศไทยคือ จีน และสหรัฐฯ แม้ในปัจจุบันจะมีคู่แข่งรายสำคัญอย่างเวียดนามที่ส่งออกข้าวได้มากกว่า แต่ด้วยคุณภาพจึงต้องยอมรับในด้านของความพึงพอใจที่ผู้บริโภคมีนั้น ข้าวของประเทศไทยยังคงเป็นที่ชื่นชอบ

ยางพารา
หากบอกว่านี่คือพืชเศรษฐกิจที่มีความสำคัญรองลงมาจากข้าวคงไม่ใช่เรื่องผิดนัก แม้ว่าราคาในประเทศจะมีปรับขึ้น-ลงตามความเหมาะสม แต่ด้วยปัจจุบันการน้ำยางยังคงเป็นที่ต้องการของตลาดโลกเพื่อนำไปทำสิ่งต่าง ๆ ให้มนุษย์ได้ใช้งานมากมาย อาทิ ยางรถยนต์ ส่วนผสมในการทำยางมะตอยเทพื้น ยางกันรั่วซึม ถุงยางอนามัย และอื่น ๆ อีกมาก ผลิตภัณฑ์ยางพาราของไทยนั้นมีการส่งออกทั้งแบบน้ำยางดิบและผ่านการแปรรูปมาแล้ว จึงส่งผลถึงการสร้างรายได้ที่หลากหลาย ในอดีตการปลูกยางมักปลูกกันแถบภาคใต้ ทว่าปัจจุบันได้มีการพัฒนาและปรับพื้นที่ในภาคอื่น ๆ โดยเฉพาะภาคตะวันออกเฉียงเหนือในการปลูกยางพารากันมากขึ้น สร้างรายได้ให้กับเกษตรกรมากตามไปด้วย การที่ยางพาราถูกจัดให้เป็นพืชเศรษฐกิจลำดับที่ 2 ต่อจากข้าว เพราะ ประเทศไทยยังคงถูกยกให้เป็นผู้ส่งออกอันดับ 1 ของโลกมาร่วม 30 ปี โดยคิดเป็นเกือบ ๆ 30% ของยางพาราทั้งหมดที่ใช้งานกันในทุกประเทศ

อ้อย
พืชเศรษฐกิจในปัจจุบันที่กำลังมีความต้องการสูงมาก ๆ ในต่างประเทศ ซึ่งการส่งออกอ้อยนั้นไม่ได้หมายถึงการส่งออกไปแบบสด ๆ เพียงอย่างเดียว แต่มีการนำไปแปรรูปเป็นน้ำตาลทรายเพื่อใช้ปรุงอาหาร รวมถึงมีการนำไปใช้เป็นพลังงานทดแทนต่าง ๆ (น้ำตาลทรายจะถูกส่งออกมากที่สุด) เมื่อเทียบกันในระดับโลกแล้ว ประเทศไทยมีการสร้างรายได้จากอ้อยมากเป็นอันดับ 2 รองเพียงแค่บราซิลประเทศเดียวเท่านั้น จึงเป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นว่าพืชเศรษฐกิจกลุ่มนี้ยังคงมีความสำคัญต่อการสร้างรายได้ให้กับเกษตรกรและประเทศมากจริง ๆ ในอดีตการปลูกอ้อยมักกระจายตามแถบพื้นที่ราบลุ่มและทนแล้งในระดับหนึ่ง เช่น นครสวรรค์ อุดรธานี นครราชสีมา กาญจนบุรี กำแพงเพชร แต่ทุกวันนี้มีเกษตรกรที่หันมาปลูกไร่อ้อยกันมากขึ้นกว่าเดิม เนื่องจากได้ราคาดี ดูแลง่าย เก็บเกี่ยวรวดเร็ว ไม่ต้องรอนานเหมือนกับพืชหลาย ๆ ชนิดอีกด้วย

มันสำปะหลัง
พืชอีกชนิดที่ถูกยกให้เป็นผลิตภัณฑ์สร้างเศรษฐกิจให้กับประเทศไทยมากในลำดับต้น ๆ ปกติแล้วมันสำปะหลังจะไม่ได้ถูกนำไปใช้ประกอบอาหารของคน แต่จะถูกนำไปแปรรูปเป็นอาหารสัตว์เนื่องจากมีคุณค่าโภชนาการสูง อีกทั้งยังมีการนำไปแปรรูปเพิ่มเติมกลิ่นให้กับอาหารมีความน่าทานมากขึ้น_ ผลิตเป็นน้ำมันเอทานอลเพื่อใช้งานแทนที่พลังงานจากน้ำมันดิบ นั่นส่งผลให้พืชเศรษฐกิจตัวนี้มีความต้องการในตลาดโลกสูงมากขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งไม่ใช่แค่ในประเทศจีนเท่านั้น แต่ประเทศทางแถบยุโรปรวมถึงสหรัฐฯ เองต่างก็เป็นคู่ค้ารายสำคัญเกี่ยวกับการสร้างเม็ดเงินให้ประเทศอีกด้วย ปัจจัยหลัก ๆ ที่ทำให้พืชชนิดนี้กลายเป็นพืชเศรษฐกิจมาจากพื้นที่อันมีแสนอุดมสมบูรณ์ในเมืองไทย จึงปลูกมันสำปะหลังได้ง่าย ดูแลไม่ยุ่งยาก ได้ผลผลิตดี เป็นไปตามความคาดหวังของเกษตรกร หากลองไปพื้นที่ตามต่างจังหวัดจะสังเกตว่ามีพืชชนิดนี้ปลูกอยู่เยอะมาก ๆ

ปาล์มน้ำมัน
การส่งออกของพืชชนิดนี้จะผ่านการแปรรูปให้กลายเป็นน้ำมันปาล์มเพื่อส่งออกไปยังต่างประเทศ สร้างรายได้ให้กับเกษตรกรที่ปลูกเป็นอย่างดี ซึ่งทางภาครัฐเองให้ความสำคัญกับผลผลิตชนิดนี้พอสมควร เนื่องจากเมื่อเกษตรกรจำนวนมากเลือกปลูก พอผ่านการแปรรูปแล้วปรากฏว่าของล้นตลาดจนต้องเร่งระบายออกไม่ให้ราคาตกมากเกินไปนัก ซึ่งถ้ามองในมุมของเกษตรกร เมื่อเกิดความต้องการเยอะ ผลผลิตของพวกเขาก็ขายได้รวดเร็วมากขึ้น มีราคาดีกว่าการปล่อยเอาไว้ให้ราคาตก แม้ในบรรดาพืชเศรษฐกิจทั้งหมดที่กล่าวมานี้ปาล์มน้ำมันอาจไม่ใช่พืชที่สร้างรายได้จากจำนวนเงินมหาศาลมากนัก แต่ทั้งนี้ก็ยังถือว่าเป็นพืชที่คนไทยนิยมปลูก เพราะให้ผลผลิตดี ดูแลไม่ยาก ที่สำคัญยังสามารถนำเอาไว้ใช้ในประเทศได้อีกด้วย ยิ่งเมื่อรัฐมีนโยบายที่ใส่ใจมากขึ้นก็เท่ากับโอกาสสร้างรายได้อย่างยั่งยืน

พืชเศรษฐกิจ มีกี่ประเภท
หลังจากการรู้จักกับบรรดาพืชเศรษฐกิจในปัจจุบันของไทยกันไปแล้ว คราวนี้ก็มาต่อกันที่พืชเศรษฐกิจ มีกี่ประเภทกันบ้าง โดยปกติจะแบ่งออกได้เป็น 3 ประเภทใหญ่ ๆ ตามลักษณะของการปลูกหรือการเกิดขึ้น ดังนี้

พืชไร่
เป็นประเภทของพืชเศรษฐกิจที่มีความสำคัญในลำดับต้น ๆ ของเมืองไทย เพราะจากทั้ง 5 ชนิดที่กล่าวมาก่อนหน้าล้วนเป็นพืชไร่ทั้งสิ้น จุดเด่นของพืชเศรษฐกิจประเภทนี้คือ ดูแลรักษาง่าย ไม่ต้องมีขั้นตอนใด ๆ เพื่อป้องกันการเสียหายมากนัก ปลูกได้ดีในพื้นที่ลุ่มดอน มีน้ำเข้าถึงง่าย แต่อาจต้องใช้พื้นที่ในปริมาณมากเพื่อให้เกิดผลผลิตในแบบที่คาดหวังเอาไว้ ปกติแล้วมักปลูกแบบพืชฤดูกาลเดียว คือ ใช้พื้นที่เดียวแต่ปลูกพืชหลาย ๆ อย่างตามแต่ฤดูกาล เช่น ช่วงหน้าฝนทำนา หลังหมดฤดูกาลเก็บเกี่ยวก็จะเปลี่ยนเป็นไร่อ้อย ไร่มันสำปะหลัง ไร่ถั่ว เป็นต้น ทั้งนี้หากแยกกลุ่มของพืชไร่ออกมาสามารถแบ่งย่อยได้คือ

กลุ่มธัญพืช เช่น ถั่วประเภทต่าง ๆ_ ข้าวโพด_ ข้าวโอ๊ต_ ข้าวสาลี
กลุ่มพืชน้ำมัน เช่น ปาล์มน้ำมัน_ อ้อย
กลุ่มพืชน้ำตาล เช่น อ้อย
กลุ่มพืชเส้นใย เช่น ฝ้าย_ ปอ_ ป่าน_ กล้วย_ มะพร้าว
กลุ่มพืชหัว เช่น มันสำปะหลัง_ มันแกว_ มันเทศ_ เผือก
กลุ่มพืชอาหารสัตว์ เช่น มันสำปะหลัง_ หญ้ากีนี
กลุ่มพืชออกฤทธิ์ต่อระบบประสาท เช่น ชา_ กาแฟ_ ยาสูบ
พืชสวน
เป็นประเภทของพืชเศรษฐกิจที่มีความหลากหลาย ไม่จำกัดพื้นที่ว่าจะมีขนาดเท่าไหร่ สามารถนำเอาไปใช้ประโยชน์ต่าง ๆ ได้หลากหลาย ซึ่งแบ่งย่อยออกได้ดังนี้

กลุ่มพืชผัก มักใช้ในการประกอบอาหารจากส่วนต่าง ๆ ของผลผลิตไม่ว่าจะเป็นใบ_ ดอก_ ราก_ ต้น_ เมล็ด
กลุ่มพืชผล หรือ ผลไม้ ส่วนใหญ่จะใช้จากผลเป็นหลัก มักเป็นกลุ่มพืชที่มีอายุยืน ใช้เวลานาน หลายชนิดจึงมีราคาแพง
กลุ่มไม้ดอก ไม้ประดับ เป็นพืชเศรษฐกิจกลุ่มใหม่ที่กำลังมาแรงมาก นำไปใช้งานในด้านการประดับตกแต่งเป็นส่วนใหญ่
ไม้เศรษฐกิจในปัจจุบันกลุ่มนี้ถือว่าต้องปฏิบัติตามกฎระเบียบเพื่อไม่เกิดปัญหาเรื่องการบุกรุกป่า หรือการตัดไม้ทำลายป่า ซึ่งบรรดาไม้เศรษฐกิจที่ยังได้รับความนิยม เช่น ไม้ยางพารา_ ไม้เต็ง_ ไม้รัง_ ไม้มะฮอกกานี_ ไม้ไผ่_ ไม้ยูคาลิปตัส รวมถึงการถูกนำไปแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ
พืชเศรษฐกิจในอนาคต
แม้ว่าพืชเศรษฐกิจในปัจจุบันที่กล่าวถึงไปจะยังคงเป็นหัวใจหลักในการสร้างรายได้ให้กับประเทศ แต่ก็มีพืชอีกหลายชนิดที่ถูกมองว่าจะกลายเป็นพืชเศรษฐกิจในอนาคต โดยขอยกตัวอย่างดังนี้

พริกชี้ฟ้า
ปลูกง่าย ให้ผลผลิตรวดเร็วทันใจ เพียงแค่ 2-3 เดือน ก็สามารถทำเงินได้ทันที นอกจากการขายหรือส่งออกแบบสด ๆ แล้ว ยังแปรรูปเป็นอย่างอื่นได้ เช่น ซอสพริก_ พริกแห้ง_ พริกป่น เป็นต้น

ไผ่กิมซุง
หรือไผ่ตงลืมแล้ง พืชเศรษฐกิจในอนาคตที่คาดว่ามีโอกาสนำมาทดแทนยางพารา เพราะสามารถทำประโยชน์ได้หลากหลาย เช่น การเก็บหน่อขายสด แปรรูป_ การนำไปทำเป็นเชื้อเพลิง รวมถึงประโยชน์ในด้านประมง

แมคคาเดเมีย
กลายเป็นพืชที่ได้รับความนิยมสูงทั้งในเมืองไทยและต่างประเทศ ส่งผลให้มีเกษตรกรจำนวนมากหันมาปลูกมากขึ้น เพราะนอกจากส่งผลผลิตสด ๆ แล้ว ยังสามารถนำไปแปรรูปเป็นอย่างอื่นได้ เช่น น้ำมัน_ สบู่

โกโก้
พืชเศรษฐกิจที่ถูกมองว่าในอนาคตจะสร้างรายได้อย่างยั่งยืน โดยปัจจุบันผลผลิตที่ได้จำหน่ายในประเทศ 80% และส่งออกประเทศเพื่อนบ้าน 20%

เรื่องราวเกี่ยวกับพืชเศรษฐกิจที่ได้กล่าวมาทั้งหมดนี้น่าจะช่วยเพิ่มแนวคิดหรือแนวทางดี ๆ ในการต่อยอดเพื่อสร้างโอกาสในการทำรายได้ให้กับตนเอง รวมถึงยังเป็นการสร้างเม็ดเงินให้เข้ามาภายในประเทศมากขึ้นอีกด้วย



ข้อมูลจาก http://ไปที่..link..
เทรนด์สุดฮอตของสายกรีนที่ต้องจับตา...เครื่องสำอางออร์แกนิค...
เทรนด์สุดฮอตของสายกรีนที่ต้องจับตา...เครื่องสำอางออร์แกนิค...
เครื่องสำอางออร์แกนิค เทรนด์สุดฮอตของสายกรีนที่ต้องจับตา

ผู้บริโภคปัจจุบันมีความใส่ใจในสุขภาพและความปลอดภัยมากขึ้น ผนวกกับกระแส ECO (Ecology) และ LOHAS (Lifestyles of Health & Sustainability) ที่กำลังอยู่ในเทรนด์ ทำให้มีความสนใจและความต้องการสินค้าประเภทออร์แกนิค และการใช้ชีวิตด้วยสินค้าออร์แกนิค (Organic Life Style) มากขึ้นและอยู่ในกระแสอย่างต่อเนื่อง จากผลการวิจัยใหม่ของ Orbis สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ฯ คาดว่าในปี 2562-2566 ตลาดสินค้าความงามทั่วโลกทะยานพุ่งทะลุ 28 ล้านล้านบาท เติบโต 7.14% และจับตาตลาดจีนโต 2 เท่าตัว เทรนด์ที่มาแรงก็คือ ความงามแบบธรรมชาติ ปัจจุบันมีสินค้าหลายแบรนด์ตั้งแต่สินค้าอาหาร เสื้อผ้า ข้าวของ เครื่องใช้ รวมไปถึงสินค้า เครื่องสําอางออร์แกนิค เพราะใช้วัตถุดิบส่วนผสมที่มาจากธรรมชาติและปลอดภัยต่อผู้บริโภค หรือนำมารีไซเคิลย่อยสลายได้ง่าย ไม่เป็นอันตรายต่อสิ่งแวดล้อม

ความต่างของผลิตภัณฑ์ออร์แกนิค (Organic Product) VS ผลิตภัณฑ์ธรรมชาติ (Natural Product)
ที่ผ่านมาหลายคนมักเข้าใจผิดในความแตกต่างระหว่างผลิตภัณฑ์ออร์แกนิค (Organic) กับผลิตภัณฑ์ธรรมชาติ (Natural Product) จริงๆแล้วผลิตภัณฑ์ออร์แกนิค(Organic) เป็นผลิตภัณฑ์ที่ได้จากพื้นฐานอันแท้จริงของธรรมชาติ ไม่มีการปรุงแต่งหรือปนเปื้อนของสารสังเคราะห์ที่เกิดจากการใช้เทคโนโลยีหรือสารเคมีซึ่งมีอันตรายแอบแฝง ใช้วัตถุดิบและส่วนผสมในกระบวนการผลิตจากผลผลิตเกษตรอินทรีย์ ไม่มีการใช้สารเคมีสังเคราะห์ในการผลิต

เริ่มตั้งแต่แหล่งเพาะปลูกวัตถุดิบ วิธีการเพาะปลูก การเก็บเกี่ยว การบรรจุหีบห่อ การขนส่ง การแปรรูปและการนำไปใช้ และท้ายสุดผลิตภัณฑ์ต้องผ่านการรับรองมาตรฐานโดยองค์กรที่แต่งตั้งขึ้นโดยรัฐบาลของแต่ละประเทศ เป็นการออกใบรับรองผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางหรือสปาออร์แกนิคที่ผ่านเกณฑ์ตามมาตรฐานที่กำหนดไว้ ในขณะที่ผลิตภัณฑ์ธรรมชาติ (Natural Product) เป็นเพียงส่วนหนึ่งของผลิตผลที่ได้จากธรรมชาติเท่านั้น

นอกจากนั้นยังมีคําเรียกสินค้าที่คล้ายคลึงกันอื่นๆ ได้แก่ Botanical Cosmetics หมายถึง เครื่องสําอางที่มีส่วนผสมที่เป็นพืช โดยเป็นพืชอินทรีย์หรือไม่ก็ตาม และอาจมีส่วนผสมมาจากพืชทั้งหมด 100% หรือมีส่วนผสมหลักบางส่วนที่มาจากพืชก็ได้ ความแตกต่างกับ Natural Cosmetics คือ Natural Cosmetics อาจมีส่วนผสมที่ไม่ใช่พืช เช่น น้ำผึ้ง น้ำมันม้า (horse oil) ฯลฯ ก็ได้

เครื่องสำอางออร์แกนิค คืออะไร ?

เครื่องสำอางออร์แกนิคก็มีความหมายตรงตัวว่า เป็นผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางที่ไม่มีการเจือปนสารเคมีเข้าไปหรือเจือปนในปริมาณที่น้อยมากไม่เกิน 10% และเป็นผลิตภัณฑ์ที่ผลิตจากธรรมชาติ จึงปลอดภัยต่อร่างกาย อ่อนโยนต่อทุกสภาพผิว และยังมีจุดเด่นด้วยคุณสมบัติที่ ปราศจากสารพาราเบน (Paraben Free) ซึ่งเป็นสารเคมีประเภทหนึ่งที่ใช้เป็นสารกันบูดในผลิตภัณฑ์ต่างๆ และมีงานวิจัยที่ระบุไว้ว่า สารพาราเบนสังเคราะห์ คือสารก่อมะเร็งชนิดหนึ่งถือเป็นการลดปัจจัยความเสี่ยงในการก่อมะเร็งลงได้ เป็นผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสำหรับผิวแพ้ง่าย (Sensitive skin) จากการปราศสารเคมี หรือ มีในปริมาณที่น้อยมาก จึงไม่มีสารที่เป็นอันตรายตกค้างตามผิวหนัง ปลอดภัยต่อสุขภาพผู้ใช้ไม่ก่อให้เกิดการระคายเคืองต่อผิว สามารถใช้บ่อยได้ตามต้องการ ก็ไม่ก่อให้เกิดอันตรายต่อผิวหนัง

แนวโน้มความต้องการสินค้าออร์แกนิคกำลังสูงขึ้นเรื่อยๆควบคู่ไปกับกระแสอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม จึงเป็นโอกาสที่ดีของผู้ประกอบการธุรกิจความงามที่จะจับกระแสนี้ และนำมาพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์เพื่อโอกาสเติบโตทางธุรกิจต่อไป


ข้อมูลจาก http://ไปที่..link..
หอยเชอรี่ สร้างรายได้หลัก 10,000 ต่อเดือน
หอยเชอรี่ สร้างรายได้หลัก 10,000 ต่อเดือน
คนส่วนใหญ่หันมาทำอาชีพเกษตรกรมากขึ้น มีพืชและสัตว์หลายชนิดที่น่าสนใจผนวกกับการใช้เทคโนโลยีหาความรู้ในการเลี้ยงทำให้เกษตรกรมีโอกาสสร้างรายได้มากขึ้น โดยหอยเชอรี่ก็เป็นอีกหนึ่งสัตว์เลี้ยงที่น่าสนใจมาก และมีคนที่ประสบความสำเร็จจากการเลี้ยงให้ได้ดูเป็นตัวอย่าง อย่างไรก็ดี เชื่อว่ามีคนอีกจำนวนมากที่ยังไม่เข้าใจและไม่รู้จักว่าหอยเชอรี่คืออะไร มีกี่แบบ แล้วหอยเชอรี่สีทองที่ได้ยินว่านิยมเลี้ยงกันคืออะไร

ลองมาหาคำตอบไปพร้อมกันเพื่อกรุยเส้นทางสู่การสร้างเป็นอาชีพได้ในอนาคต ลักษณะทั่วไปของ หอยเชอรี่ หอยเชอรี่สามารถแบ่งหอยเชอรี่ได้ 2 พวก คือ พวกที่มีเปลือกสีเหลืองปนน้ำตาล เนื้อและหนวดสีเหลือง และพวกมีเปลือกสีเขียวเข้มปนดำ และมีสีดำจาง ๆ พาดตามความยาว เนื้อและหนวดสีน้ำตาลอ่อน หอยเชอรี่เจริญเติบโตและขยายพันธุ์ได้อย่างรวดเร็ว ลูกหอยอายุเพียง 2 – 3 เดือน จะจับคู่ผสมพันธุ์ได้ตลอดเวลา หลังจากผสมพันธุ์ได้ 1 – 2 วัน ตัวเมียจะวางไข่ในเวลากลางคืน โดยคลานไปวางไข่ตามที่แห้งเหนือน้ำ เช่น ตามกิ่งไม้ ต้นหญ้าริมน้ำ โคนต้นไม้ริมน้ำ ข้าง ๆ คันนา และตามต้นข้าวในนา ไข่มีสีชมพูเกาะติดกันเป็นกลุ่มยาว 2 – 3 นิ้ว แต่ละกลุ่มประกอบด้วยไข่เป็นฟองเล็ก ๆ เรียงตัวเป็นระเบียบสวยงาม ประมาณ 388 – 3_000 ฟอง ไข่จะฟักออกเป็นตัวหอยภายใน 7 – 12 วัน หลังวางไข่

หอยเชอรี่สีทอง คือ??
สำหรับหอยเชอรี่สีทองที่เราเรียกกันที่จริงคือหอยเชอรี่พันธุ์สนิม หรือ หอยหวานญี่ปุ่นด้วยซึ่งเลี้ยงง่ายเหมือนการเลี้ยงหอยเชอรี่ หอยขมทั่วไป จุดแตกต่างคือมีเนื้อสัมผัสที่นุ่มไม่เหนียวเหมือนหอยเชอรี่ในเมืองไทยแถมเนื้อยังมีความหวานไม่คาว ต่างจากหอยชนิดอื่นๆในกลุ่มเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็นหอยเชอรี่สีดำ หอยโข่ง หรือ หอยขม ทำให้เกษตรกรที่เพาะเลี้ยงปูนา และเลี้ยงหอยเชอรี่ หันมาเลี้ยงหอยเชอรี่สีทอง และหอยเชอรี่สีทองสนิม กันเป็นจำนวนมาก ถ้าถามหาจุดเริ่มต้นของการเข้ามาของหอยเชอรี่สีทอง และหอยเชอรี่สีทองพันธุ์สนิม ในประเทศไทย ยังไม่มีการระบุแน่นอน แต่เชื่อว่าบางส่วนเป็นพันธ์ที่ได้มาจากทางมาเลเซีย

วิธีการเลี้ยงหอยเชอรี่สีทองแบบเบื้องต้น คนที่สนใจและอยากเลี้ยงหอยเชอรี่สีทอง ขั้นแรกต้องสำรวจตลาดให้แน่ใจว่าจะเอาหอยเชอรี่ของเราไปขายที่ไหนได้บ้าง ซึ่งส่วนใหญ่จะขายได้ตามร้านอาหารอีสาน ร้านส้มตำ หรือตามขายให้กับพ่อค้าแม่ค้าในตลาดสด หรือสามารถขายในร้านอาหารบางแห่งได้ ขั้นตอนเบื้องต้นเริ่มจาก

1.เตรียมพื้นที่สำหรับเลี้ยงหอยเชอรี่ เช่น กระชังในบ่อดินธรรมชาติ หรือ บ่อซีเมนต์ ก็ได้ ซึ่งหอยเซอรี่นั้นถือว่าเป็นหอยที่เลี้ยงง่ายและโตไว แถมยังกินเก่ง โดยในขึ้นตอนการเตรียมบ่อนั้นให้เราใส่พืชน้ำ เช่น แหน ผักตบ ผักบุ้ง ทางมะพร้าว เศษไม้ สำหรับไว้ให้หอยเชอรี่เกาะ หรือ ผักพื้นถิ่นที่หาได้ตามธรรมชาติ เพื่อปรัหยัดค่าใช้จ่าย

2.การเตรียมสายพันธุ์ โดยเราสามารถที่จะเลี้ยงจาก พ่อแม่พันธุ์หอยเซอรี่สีทอง หรือ จะเลี้ยงจากไข่ก็ได้ โดยให้สังเกตไข่ของหอยเชอรี่ที่พร้อมเลี้ยงต้องมีสีชมพูแก่ค่อนไปสีเทา และเมื่อนำมาปล่อยในพื้นที่เลี้ยงที่เตรียมไว้ ใช้เวลาในการเลี้ยง ประมาณ 4 เดือน ก็สามารถจับขาย ขนาดประมาณ 50 – 60 ตัว/กิโลกรัมราคากิโลกรัมละ 50 – 80 บาท ขายตามร้านส้มตำ และร้านอาหารอีสานทั่วไป

3.ช่วงแรกของการเลี้ยง หลังจากเอาไข่หอยมาลง ใช้เวลาประมาณ 7 – 15 วัน จะเริ่มฟักเป็นตัว พอฟักเป็นตัวหมดแล้วให้เอามาอนุบาลลงในน้ำ อนุบาลไว้ประมาณ 2 เดือน หรือจะปล่อยไว้ในบ่อประมาณ 3 เดือนก็เอามากินได้เช่นกัน ภาษาชาวบ้านจะบอกว่า หอยหนุ่มสาวเนื้อจะไม่เหนียว แต่ถ้าอายุ 4 เดือน จะเริ่มเป็นพ่อแม่พันธุ์ หอยจะเริ่มขึ้นวางไข่ได้แล้ว เราก็จะคัดออกมาไว้อีกบ่อ เพื่อง่ายต่อการดูแล ส่วนอาหารของหอยหลัก ๆ คือแหนแดงซึ่งต้องเตรียมไว้ในบ่อ

4.อาหารของหอยเชอรี่สีทอง การเลี้ยงหอยเชอรี่สีทอง หรือ พันธุ์สนิม ถ้าไม่ได้ทำเป็นฟาร์ม เกษตรกรปล่อยให้ผสมพันธุ์เองตามธรรมชาติ ซึ่งจะผสมพันธุ์และให้ไข่ได้ทั้ง 3 ฤดู ถ้าเลี้ยงทั่วไป ก็จะไม่แยกไข่หรือ ลูกออกไปอนุบาล แต่เราเลี้ยงขาย พ่อ แม่พันธุ์ ก็จะแยกลูกตอนหนึ่งเดือนออกไปอนุบาล เพื่อให้ได้ลูกที่สมบูรณ์มากที่สุด โดยอาหารขออหอยเชอรี่สีทองจะกินพืชน้ำทุกชนิดโดยเฉพาะแหนแดงหรือ ถ้าเลี้ยงเป็นฟาร์ม สามารถให้อาหารปลาดุกแทนได้

เคล็ดไม่ลับในการเลี้ยงหอยเชอรี่สีทอง ปัญหาหนึ่งที่เจอในการเลี้ยงหอยเชอรี่สีทองในบ่อซีเมนต์น้ำจะเสียบ่อย เทคนิคที่นำมาใช้คือใช้แหนแดงในการบำบัดน้ำ เพราะจะช่วยเพิ่มไนโตรเจน และออกซิเจนในน้ำ รวมทั้งเป็นอาหารของหอยด้วยหรือภูมิปัญญาของคนในสมัยก่อนจะตัดท่อนอ้อยลงแช่น้ำ เพราะว่าอ้อยมีความหวาน และจุลินทรีย์มันจะกินความหวานเป็นอาหาร ซึ่งจะทำให้น้ำไม่เสีย รายได้จากการเลี้ยงหอยเชอรี่สีทองสูงกว่าเดือนละ 10_000 บาท

ราคาของหอยเชอรี่สีทองในปัจจุบันขายกันที่กิโลกรัมละไม่ต่ำกว่า 400 บาท ระยะเวลาการเลี้ยง จนสามารถขายได้ ประมาณ 4-5 เดือนเป็นอย่างต่ำ ส่วนใครที่ต้องการให้ตัวใหญ่ขึ้นมาอีก ก็เลี้ยงกัน 7-8 เดือน ช่องทางการตลาดสามารถขายได้ทั้งในชุมชนตลาดใกล้บ้าน หรือบางคนใช้เทคโนโลยีให้เป็นประโยชน์เพิ่มช่องทางการขายออนไลน์ โดยขายตั้งแต่ ไข่หอย หอยวัยรุ่น หอยพ่อแม่พันธุ์ ถ้าดูจากคนเลี้ยงที่ประสบความสำเร็จอย่างดี สามารถสร้างรายได้ไม่ต่ำกว่าเดือนละ 10_000 – 20_000 บาท หรือบางเดือนอาจมีรายได้สูงกว่า 40_000 -50_000 ได้เลยทีเดียว

ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับกลยุทธ์ในการเลี้ยง เทคนิคในการเลี้ยง การตลาดของผู้เลี้ยงเป็นสำคัญด้วย จากการศึกษาพบว่าเนื้อหอยเชอรี่มีโปรตีนสูงถึง 34 – 53 เปอร์เซ็นต์ ไขมัน 1.66 เปอร์เซ็นต์ ใช้ประกอบอาหารได้หลายอย่างเช่น ส้มตำ หรือทำน้ำปลาจากเนื้อหอยเชอรี่ ใช้ทำเป็นอาหารสัตว์เลี้ยง เช่น เป็ด ไก่ สุกร เป็นต้น เปลือกก็สามารถปรับสภาพความเป็นกรดเป็นด่างของดินได้ ตัวหอยทั้งเปลือกถ้านำไปฝังบริเวณทรงพุ่มไม้ผล เมื่อเน่าเปื่อยก็จะเป็นปุ๋ยทำให้ต้นไม้เจริญเติบโตเร็ว และได้ผลผลิตดี รวมถึงข้อมูลจากสถาบันหัวใจและปอดแห่งชาติของแคนาดา ระบุว่า หอยเชอรี่อุดมไปด้วยคุณค่าทางอาหารจำนวนมาก

อย่างไรก็ดีการเลี้ยงหอยเชอรี่สีทองแม้จะมีโอกาสและช่องทางที่เปิดกว้างแต่คนที่สนใจควรศึกษาหาความรู้จากคนเลี้ยงที่เขาประสบความสำเร็จ สิ่งที่เราควรรู้คือวิธีการเลี้ยงที่ถูกต้อง ปัญหาที่ต้องเจอเช่นเรื่องโรคในหอยเชอรี่ หรือการได้พูดคุยกับคนที่มีประสบการณ์จะทำให้เราเรียนรู้เรื่องช่องทางการตลาดได้ถือเป็นเรื่องที่สำคัญอย่างมาก


ข้อมูลจาก http://ไปที่..link..ลี้ยง-หอยเชอรี่-ในบ่อปูน-สร้างรายได้หลัก-10000-ต่อเดือน/
เกษตรอินทรีย์ วิธีเพาะต้นอ่อนทานตะวัน
เกษตรอินทรีย์ วิธีเพาะต้นอ่อนทานตะวัน
เทรนด์สุขภาพกำลังเป็นที่พูดถึง คนยุคใหม่มองหาสินค้าออร์แกนิคมากขึ้น ดังนั้นธุรกิจใดก็ตามที่เจาะกลุ่มเป้าหมายที่ว่านี้ได้มีโอกาสเติบโตในการทำธุรกิจที่ดีเกินคาด หนึ่งในสินค้าออร์แกนิคที่ มองว่าน่าสนใจและเป็นกระแสที่ฮอตฮิตมากคือ การเพาะต้นอ่อนทานตะวัน ที่เราเชื่อว่ามีอีกหลายคนไม่รู้ด้วยซ้ำว่าต้นอ่อนทานตะวันคืออะไร เพาะอย่างไร ขายที่ไหน ขายแล้วมีกำไรอย่างไร เราจะพาทุกท่านที่อยากมีเงินใช้ อยากมีรายได้เลี้ยงครอบครัวมารู้จักกับธุรกิจนี้ที่บางคนถึงขนาดลาออกจากงานมาทำกิจการด้านนี้เต็มตัวเป็นเรื่องเป็นราวเลยทีเดียว

รู้จักต้นอ่อนทานตะวันกันก่อน!

ต้นอ่อนทานตะวันก็คือต้นอ่อนของดอกทานตะวันที่มีอายุเพียง 7 – 11 วัน ในต้นอ่อนทานตะวันนี้เต็มไปด้วยสารอาหารที่ดีต่อสุขภาพ เช่น ไฟเบอร์ โปรตีน ธาตุเหล็ก แคลเซียม สังกะสี และโพแทสเซียม หรือแม้แต่ไขมันชนิดที่ดีต่อร่างกาย โดยต้นอ่อนทานตะวัน ในปริมาณ 1/4 ถ้วย มีปริมาณไขมันสูงถึง 16 กรัม ไขมันอิ่มตัว 2 กรัม ไขมันไม่อิ่มตัวเชิงซ้อน 8 กรัม ไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยว 6 กรัม คาร์โบไฮเดรต 6 กรัม ไฟเบอร์ 2 กรัม และโปรตีน 6 กรัม ซึ่งไขมันที่อยู่ในต้นอ่อนทานตะวันนี้ล้วนแต่เป็นไขมันชนิดดีและมีประโยชน์ต่อร่างกาย ช่วยควบคุมระดับคอเลสเตอรอลในเลือดได้ ไม่เพียงเท่านั้น ต้นอ่อนทานตะวันยังมีแคลเซียมและธาตุเหล็กสูงด้วยเช่นกัน

โดยต้นอ่อนทานตะวัน 1/4ถ้วย มีประมาณธาตุเหล็กถึง 8% ของปริมาณธาตุเหล็กที่ควรได้รับต่อวัน และมีแคลเซียมถึง 2% ของปริมาณที่ควรได้รับต่อวันอีกด้วย ถือว่าเป็นพืชคุณค่าทางอาหารสูงมาก

สิ่งที่ต้องเตรียม
ถาดสำหรับปลูก เช่น ถาด หรือตระกร้า ดิน (ดินสำหรับต้นอ่อน หรือดินจากร้านขายต้นไม้ก็ได้ครับ) เมล็ดทานตะวัน

ขั้นตอนการเพาะต้นอ่อนทานตะวัน

นำเมล็ดแช่น้ำ 4-6 ชม. ระหว่างแช่จะมีฟองอากาศซึ่งเกิดจากน้ำเข้าไปในเมล็ดหลังจากนั้นเทน้ำออก เทคนิคน่าสนใจคือ หลังจากได้เมล็ดมาควรตากแดดจัด 1 วัน ก่อนแช่ เพื่อให้เมล็ดดีดออกใบได้ง่าย

นำเมล็ดบ่มในผ้าขนหนู ประมาณ 18-20 ชม. ทุก ๆ 5 ชม. ให้คนกลับไปกลับมา เมล็ดจะเริ่มงอกเป็นตุ่ม ๆ แสดงว่าเริ่มเพาะได้แล้ว ให้นำดินใส่ถาดที่เตรียมไว้ โดยรากที่งอกออกมาไม่ควรปล่อยให้ยาวมาก ประมาณ 2-3 มิล ก็ใช้ได้

โรยเมล็ดลงดิน โดยไม่ให้หนา หรือบางจนเกินไป อัตราส่วนโดยเฉลี่ย ถาด 30 x 60 ซม. ต่อเมล็ด 1.5 ขีด โรยดินกลบบาง ๆ และรดน้ำพอชุ่ม โดยดินที่ได้มาควรร่อนเอากากใบไม้ ขุยมะพร้าวออกก่อน การโรยควรใช้ดินละเอียด

นำถาดมาซ้อนกันประมาณ 1 คืน หลังจากนั้นให้นำถาดออกมารดน้ำตามปกติ ซึ่งการซ้อนถาดเป้าหมายเพื่อให้รากลงดินได้เร็วขึ้นและถาดที่ซื้อมาควรเป็นถาดแบบเดียวกัน เพื่อสะดวกต่อการซ้อน แยกถาดออกไว้ในร่ม รดน้ำวันละ 2 ครั้ง เช้า-เย็น และหลังจากแยกถาด ควรคุมเรื่องแสงนะเพื่อให้ต้นยืดหาแสง จะทำให้ได้ต้นยาว สวยงามขายได้ราคามากขึ้น

เข้าสู่วันที่ 3 รดน้ำต่อวันละ 2 ครั้ง เช้า-เย็น พอประมาณ เข้าสู่วันที่ 4 รดน้ำบาง ๆ เพื่อให้ดินหลุดจากใบ สามารถเริ่มเก็บเมล็ดที่ติดใบออกได้ รดน้ำเช้า-เย็นต่อ แต่ถ้าก่อนเพาะเราเคยเอาเมล็ดตากแดดมาก่อนพอถึงขั้นตอนนี้ เมล็ดจะดีดออกจากใบเอง ทำให้ไม่ต้องเก็บเมล็ดมาก

เข้าสู่วันที่ 5 รดน้ำต่อเช้า-เย็น พอประมาณ ช่วงนี้ใกล้วันตัดจำหน่าย1-2 วัน ก่อนตัด พยายามให้ต้นอ่อนโดนแสง ต้นจะยาวและเขียวสวยมากขึ้น

เข้าสู่วันที่ 6-7 รดน้ำเช้า-เย็นปกติ และนำออกมารับแสงในวันที่จะตัด ต้นจะเริ่มเขียว สามารถตัดได้ในวันที่ 6-7 หรืออาจจะนานกว่านั้น แล้วแต่ความยาวของต้น สังเกตว่าถ้าเริ่มเห็นใบจริงแทรกออกมาจากปลายต้นอ่อน ควรจะตัดได้แล้ว

เทคนิคการตัดต้นอ่อนทานตะวัน ใช้มือรวบโคนต้นเป็นกระจุก นำกรรไกร หรือคัตเตอร์คม ๆ ตัดที่โคนต้น สาเหตุที่ต้องใช้คมมาก ๆ เพื่อป้องกันโคนต้นช้ำครับ ล้างในกะละมัง 2 น้ำ เก็บเศษดิน เศษราก และเมล็ดที่ติดมาออก ผึ่งให้แห้ง พร้อมรับประทาน หรือจะแพ็คใส่ถุงเข้าตู้เย็น โดยมัดปากถุงให้แน่น ไม่ต้องเจาะรู แต่ต้องผึ่งให้สะเด็ดน้ำก่อนนะครับ สามารถเก็บได้ถึง 5-7 วัน เทคนิคการทำตลาดจำหน่ายต้นอ่อนทานตะวัน สิ่งที่คนกังวลคือไม่รู้ว่าจะเอา ต้นอ่อนทานตะวัน ไปขายที่ไหน อย่างไร ซึ่งในความเป็นจริงต้นอ่อนทานตะวัน เอามาแปรรูปเป็นอาหารได้หลายอย่าง และมีประโยชน์ต่อสุขภาพมาก เช่นทำเป็นสลัด เป็นส่วนผสมในไข่เจียว หรือจะเอามาผัดน้ำมันหอย เป็นการสร้างทางเลือกให้ผู้บริโภคได้ทานอาหารที่แตกต่างและมีประโยชน์

เทคนิคการทำตลาดเราควรเริ่มจาก

1.แบ่งปันคนใกล้ตัวหรือเพื่อนร่วมงาน เริ่มจากคนใกล้ตัว ญาติ เพื่อนสนิท เพื่อนที่ทำงาน ไม่ต้องคิดเอาไปวางแผงขาย เป้าหมายคือให้คนเหล่านี้ติดใจในรสชาติและความน่าสนใจของต้นอ่อนทานตะวัน และจะเป็นการตลาดแบบปากต่อปาก ก็จะขยายตลาดต้นอ่อนทานตะวันของเราออกไปได้ด้วย

2.เลือกกลุ่มคนที่จะทดลองต้นอ่อนทานตะวัน สำหรับคนที่เพาะต้นอ่อนทานตะวันได้จำนวนน้อยการจะแจกฟรีให้เพื่อนทีละมากๆ ก็คงไม่ได้ ทางที่ดีและรวดเร็วในการทำตลาดคือเลือกกลุ่มเป้าหมายที่มีแนวโน้มจะสนใจ เช่นกลุ่มคนรักสุขภาพ กลุ่มแม่บ้าน คนขายข้าวแกงที่ต้องการวัตถุดิบใหม่ๆ กลุ่มเป้าหมายที่น่าสนใจเหล่านี้จะช่วยทำให้สินค้าของเราติดตลาดได้ง่ายขึ้น

3.พลังของโซเชี่ยลมีเดีย ยุคนี้ทำตลาดออนไลน์ง่ายที่สุดใช้โซเชี่ยลมีเดียของเราที่มีสร้างเพจ ขึ้นมา ในนั้นก็พยายามหาเพื่อนเข้ามาร่วมกลุ่ม และใส่เนื้อหาสาระดีๆ เกี่ยวกับต้นอ่อนทานตะวัน วิธีการปลูก คุณประโยชน์ วิธีการประกอบอาหาร และอย่าลืมบอกให้ชัดเจนว่าเราคือผู้จำหน่าย สนใจติดต่อได้ และอีกวิธีคือการอัดคลิปในยูทูปในขั้นตอนสำคัญเช่นเก็บเกี่ยว เพาะปลูก หรือลงมือทำอาหาร จะช่วยเพิ่มความน่าสนใจและทำให้มีลูกค้าติดต่อมาจากหลายทิศทางมากขึ้น รายได้จากการเพาะต้นอ่อนทานตะวัน ในส่วนของรายได้ขั้นต่ำจะอยู่ที่ประมาณ

4 เท่าของต้นทุน ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับการดูแลและความเอาใจใส่ที่จะวัดได้ว่าจะทำให้มีกำไรมากหรือน้อย แต่ส่วนใหญ่มีกำไรแน่ๆ เรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในรายได้เสริมที่ทำเงินได้ดีอย่างมาก โดยเมล็ดทานตะวัน 1 กิโลกรัมสามารถเพาะเป็นต้นอ่อนทานตะวันได้ถึง 2.5-8 กิโลกรัมขึ้นอยู่กับพันธุ์และการเลี้ยงดู ซึ่งเมล็ดทานตะวัน 1 กิโลกรัมจะมีราคาอยู่ที่ประมาณ 150-250 บาท โดยราคาตามท้องตลาดในตอนนี้ ต้นอ่อนทานตะวันที่ 1 ขีด จะมีราคาอยู่ที่ประมาณ 15-30 บาท และเมื่อคิดเป็น 1 กิโลกรัมแล้ว ก็จะสามารถทำเงินให้เราได้ถึง 150-300 บาทเลย หลายคนที่ประสบความสำเร็จจากการต้นอ่อนทานตะวัน มีผลผลิตเฉลี่ยต่อวัน20-30 กิโลกรัม ราคาขายส่งตกที่กิโลกรัมละ 100 บาท และยังสามารถเพาะเลี้ยงพืชอายุสั้นๆ เก็บเกี่ยวไว ชนิดอื่นๆ ได้อีกมากเช่น ข้าวสาลี โต้วเหมี่ยว กระเจี๊ยบ ถั่วงอก ก็สามารถเพิ่มรายได้ให้กับตัวเองมากขึ้น

แม้จะดูว่าเป็นพืชระยะสั้นที่ใช้เวลาไม่นานในการเพาะปลูก แต่ก่อนที่เราคิดจะทำธุรกิจนี้ควรมองหาตลาดรองรับ และเหนือสิ่งอื่นใด ทดลองปลูกให้รู้ปัญหา และแนวทางเบื้องต้น เพื่อประเมินว่าดีพอจะทำเป็นธุรกิจเพิ่มรายได้ให้ตัวเองหรือไม่ แม้บางคนจะทำแล้วประสบความสำเร็จแต่ก็ใช่ว่าเราจะทำเหมือนเขาได้ง่าย หากต้องการสำเร็จเหมือนคนอื่นก็ต้องศึกษา มีข้อมูลในการปฏิบัติงานที่ดีพอ ต้นอ่อนทานตะวันสร้างรายได้ที่ดีให้กับคนที่สนใจแต่ก็ขึ้นอยู่กับการใส่ใจ และจริงจังของผู้ลงทุนด้วยเช่นกัน


ข้อมูลจาก http://ไปที่..link..พาะต้นอ่อนทานตะวัน-รายได้ครึ่งแสน/
น้ำผลไม้บรรจุกระป๋อง สร้างมูลค่าเพิ่มให้ผลไม้ไทย ส่งออกต่างประเทศ
น้ำผลไม้บรรจุกระป๋อง สร้างมูลค่าเพิ่มให้ผลไม้ไทย ส่งออกต่างประเทศ
ประเทศไทยถือเป็นประเทศที่มีความอุดมสมบูรณ์เต็มไปด้วยพืชผลทางการเกษตร ทั้งผักและผลไม้นานาชนิดที่ผลิดอก ออกผลให้คนไทยได้บริโภคกันตลอดทั้งปี และด้วยข้อจำกัดในการเก็บรักษาทำให้พืชผลทางการเกษตรมีมากเกิน จนบริโภคหรือจัดจำหน่ายไม่ทัน เกิดความเสียหาย เหล่านี้ได้กลายเป็นข้อดีที่นักธุรกิจรุ่นใหม่อย่าง วราภรณ์ วังวิวัฒน์ กรรมการผู้จัดการบริษัท อินเตอร์ดริ๊งส์ จำกัด มองเห็นโอกาสในการสร้างธุรกิจ เกิดแนวคิดแปรรูปผลไม้สดเป็นน้ำผลไม้บรรจุกระป๋องส่งออกต่างประเทศมานานกว่า 12 ปี

วราภรณ์ วังวิวัฒน์ เล่าถึงจุดก่อเกิด อินเตอร์ดริ๊งส์ ว่า บริษัท อินเตอร์ดริ๊งส์ จำกัด เป็นบริษัทในเครือของบริษัท มโนห์ราอุตสาหกรรมอาหาร จำกัด ผู้ผลิตข้าวเกรียบขายในเมืองไทย และส่งออกไปต่างประเทศ โดย อินเตอร์ดริ๊งส์ ดำเนินธุรกิจผู้ผลิตและจัดจำหน่ายน้ำผลไม้บรรจุกระป๋องส่งออกต่างประเทศเป็นหลัก

แนวคิดในการทำธุรกิจส่งออกน้ำผลไม้บรรจุกระป๋อง มาจากการที่เราดูแลในส่วนงานด้านตลาดส่งออกให้บริษัท มโนห์ราอุตสาหกรรมอาหาร ทำให้มีเครือข่ายกลุ่มลูกค้าต่างประเทศส่วนหนึ่งอยู่แล้ว ถือเป็นข้อได้เปรียบของเรา เพราะการผลิตสินค้าขึ้นมาสักอย่างไม่ใช่เรื่องยาก แต่จะขายให้ใคร หรือหาลูกค้าจากที่ไหน ตรงจุดนี้สิที่ยาก แต่มโนห์ราอยู่ในตลาดมานานกว่า 54 ปี จึงรู้จักลูกค้าพอสมควร ดังนั้นเราแค่นำเสนอสินค้าที่ทำให้กับลูกค้าแต่ละประเทศที่เรามีพอร์ตอยู่เท่านั้นเอง

นอกจากนี้การที่ มโนห์รา เป็น snack ข้าวเกรียบ ซึ่งมีน้ำหนักเบา เราจึงอยากหาสินค้าที่ขายไปพร้อมกันได้ เพื่อเฉลี่ยน้ำหนัก รวมถึงเงินต้นทุนต่อหน่วยของค่าขนส่งในการส่งออก ความคิดเรื่องการทำน้ำผลไม้บรรจุกระป๋องจึงเกิดขึ้น การที่เราถนัดในไลน์อาหารอยู่แล้ว จึงถือเป็นการแตกไลน์ธุรกิจเกี่ยวกับอาหารไปด้วยเลย อีกทั้งการขายผลไม้ที่เป็นวัตถุดิบสดๆ เมื่อรวมกับการขนส่งด้วยแล้วราคาค่อนข้างแพง เราคิดว่าการดื่มน้ำผลไม้จากกระป๋องน่าจะดีกว่า รสชาติอาจไม่เหมือนที่ดื่มจากผลสด ๆ แต่ในรูปแบบกระป๋องจะสามารถเข้าถึงกลุ่มลูกค้าได้ง่าย ต้นทุน และการเก็บรักษา รวมถึงอายุของสินค้าที่สามารถอยู่ได้เป็นปี คุณสมบัติต่างๆ เหล่านี้สามารถนำเสนอต่อลูกค้าได้ง่ายกว่า

สินค้าตัวแรกที่ทำคือ น้ำมะพร้าวผสมเนื้อมะพร้าวกับน้ำมะพร้าวธรรมดา ที่เลือกทำน้ำมะพร้าว เพราะโรงงานของเราอยู่ที่จังหวัดสมุทรสาคร ซึ่งเป็นแหล่งที่มีวัตถุดิบประเภทมะพร้าวเยอะมาก หลังจากนั้นก็เริ่มขยายไลน์ทำน้ำสับปะรด น้ำฝรั่ง น้ำลิ้นจี่ น้ำผลไม้รวม น้ำมะขาม น้ำส้ม โดยแตกไลน์ออกไปเรื่อยๆ ซึ่งทั้งหมดนี้ เราคำนึงถึงแหล่งวัตถุดิบด้วย เพราะหากไล่มา สมุทรสาคร สมุทรสงคราม มีลิ้นจี่ ฝรั่ง ส่วนเพชรบุรี ประจวบคีรีขันธ์ ก็มีสับปะรด ถือเป็นข้อดีและข้อได้เปรียบของเราในเรื่องของโลจิสติกส์ และวัตถุดิบคุณภาพที่นำมาผลิตในโรงงาน

ช่วงแรกๆ เราส่งออก 100% ทำเป็น OEM (Original Equipment Manufacturer) คือรับจ้างผลิตสินค้าให้กับแบรนด์ต่างๆ ก่อน ประมาณ 4-5 ปี เพื่อให้โรงงานเป็นที่รู้จัก และลูกค้าเกิดความมั่นใจว่าเราเป็นผู้ผลิตตัวจริงที่อยู่ในเมืองไทย ขณะเดียวกันก็ทำแบรนด์ของตัวเองคู่ขนานกันไปด้วย ภายใต้ชื่อ C-Light และ COCO PLUS เหตุผลที่ต้องสร้างแบรนด์คู่ขนานไปกับการทำ OEM เพราะ ต้องสร้างความยั่งยืนให้กับบริษัท ดังนั้น สิ่งที่ควรทำคือ การสร้างแบรนด์ให้แข็งแกร่ง คนจะรับประทานหรือซื้อสินค้า แบรนด์ต้องมาเป็นอันดับหนึ่ง เพื่อให้ลูกค้ามั่นใจว่า ทุกครั้งที่หยิบแบรนด์นี้ขึ้นมา สินค้าจะมีคุณภาพ อร่อย และคุ้มกับเงินที่เขาเสีย เฉพาะแบรนด์ C-Light ตอนนี้มีหลายซีรี่ส์มาก หลักๆ เป็นน้ำผลไม้ และ Milk Drinks เช่น Melon Milk _Almond Milk_ Chocolate Milk_ Banana_ Rose Milk Drinks_ Strawberry Milk Drinks เป็นต้น

ปัจจุบันบริษัทยังรับทำ OEM อยู่ และมีสินค้ามากกว่า 40 รายการ (SKUs) อาทิ น้ำมะพร้าว มีตั้งแต่ 20% ไปจนถึง100% ขึ้นอยู่กับลูกค้าที่มาจ้างผลิตว่าอยากได้น้ำอะไร มีงบเท่าไหร่ สินค้าของอินเตอร์ดริ๊งส์ส่งออกต่างประเทศประมาณ 95% อีก 5% คือการรับจ้างผลิตให้ลูกค้าในประเทศ

เจาะตลาดต่างประเทศในกลุ่มอเมริกา และ UAE ผ่านงานแสดงสินค้าระดับโลก

การไปออกงานแสดงสินค้ากับหน่วยงานภาครัฐในต่างประเทศ ทำให้เรารู้ข้อมูลของกลุ่มลูกค้าที่จะนำสินค้าไปขายได้ก่อนว่าประเทศไหน กลุ่มไหนของแต่ละทวีป ที่มีกำลังซื้อในเรื่องของน้ำผลไม้บรรจุกระป๋อง เพื่อที่เราจะสามารถเลือกกลุ่มที่จะอยู่ได้ชัดเจนขึ้น สินค้าของเราจะอยู่ในกลุ่ม Beverage ลูกค้าที่เดินมางานแสดงสินค้า (Exhibition Show) เราก็จะได้แนะนำบริษัท อินเตอร์ดริ๊งส์ ให้ลูกค้าได้ตรงกลุ่มเป้าหมายว่า เราเป็นใคร ผลิตอะไร มีสินค้าอะไรมานำเสนอบ้าง อย่างเช่น กลุ่มตะวันออกกลาง ซึ่งมีกำลังซื้อและบริโภคน้ำผลไม้บรรจุกระป๋องในปริมาณมาก เนื่องจากประเทศเหล่านี้มีของสดน้อย ภูมิอากาศร้อน การหาผลไม้สดมารับประทานจึงเป็นเรื่องยาก ราคาแพง และคุณภาพไม่ดีเหมือนบ้านเรา เราจึงนำเสนอ Process Food ด้วยบรรจุภัณฑ์สวยงามเรียบร้อย ลักษณะนี้จะง่ายในการเข้าถึงผู้บริโภค และราคาไม่แพงด้วย

ในการไปออกงานแสดงสินค้าที่ต่างประเทศ ต้องทำการบ้านพอสมควร ต้องมีการวางแผนและคุยกันในทีมก่อนว่า เราจะไปขายอะไร ขายเท่าไหร่ ขายอย่างไร ในทางกลับกันไม่ใช่แค่การขายอย่างเดียว ต้องเก็บข้อมูลกลับมาด้วยว่า พฤติกรรมผู้บริโภคของแต่ละประเทศเป็นอย่างไร ตอนนี้เทรนด์ในต่างประเทศขายอะไร กินอะไรกัน และมีสินค้าอะไรใหม่ๆ ในตลาดบ้าง หรือ การออกแบบบรรจุภัณฑ์เป็นอย่างไร สีสันสดใส สวยหรือไม่ เหล่านี่คือสิ่งที่เราต้องใส่ใจ ต้องเก็บข้อมูลต่างๆ แล้วนำกลับมาคุยกับทีมมาร์เก็ตติ้ง และ ทีม R&D(Research and development) ก่อน เพื่อหาข้อสรุปว่าซีรี่ส์แรกจะผลิตเครื่องดื่มอะไรออกไปขาย โดยหลักๆ บริษัทจะเน้นเรื่องการใช้พืชผลทางการเกษตรจากเกษตรกรที่ปลูกในเมืองไทย 100% เป็นอันดับแรก

ช่วงแรกเริ่มทำตลาดต่างประเทศ 2 กลุ่มคือสหรัฐอเมริกา และ ในกลุ่มของ GCC (Gulf Countries Cooperation) หรือกลุ่มประเทศความร่วมมืออ่าวอาหรับ มี 6 ประเทศ ซึ่งเป็นตลาดหลักของไทยในตะวันออกกลาง ได้แก่ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์(UAE)_ บาห์เรน_ ซาอุดีอาระเบีย_ คูเวต _กาตาร์ และโอมานโดยงานแรกไปกับกรมส่งเสริมการส่งออกเป็นงาน Gulfood มีลูกค้าในแต่ละประเทศมาดูงานเยอะมาก ถือเป็นตลาดแรกๆ ที่เราไปขายสินค้า สินค้าที่นำไปออกงานแสดงสินค้ามีน้ำมะพร้าว น้ำสัปปะรด น้ำฝรั่ง น้ำลิ้นจี่ เป็นต้น ซึ่งน้ำมะพร้าวได้รับการตอบรับที่ดีมาก

สิ่งสำคัญที่ต้องนำเสนอ คือ ทำไมเขาต้องซื้อของเรา ราคาดีมั้ย คุณภาพดีหรือเปล่า ระยะเวลาในการผลิตส่งสินค้าตรงเวลามั้ย ดีไซน์สวยมั้ย แล้วผ่านกฏระเบียบการนำเข้าของแต่ละประเทศหรือเปล่า เช่น จะขายแบรนด์ C-Light จะขายได้เลยต้องเอาสินค้าตัวอย่างไปให้ลูกค้าชิมก่อน พอเป็นที่รู้จักว่าสินค้าของเราคืออะไร สร้าง Awareness ต่อเนื่องมั้ย ต้องคิดหมด มีสินค้าแนะนำแจกมั้ย เหมือนทำตลาดในเมืองไทย แต่เป็นการทำตลาดต่างประเทศที่ต้องใช้เวลา

การทำการตลาดช่วงปีแรก ใช่ว่าจะได้รับการตอบรับที่ดี ดังนั้นต้องออกงานแสดงสินค้าตลอด ออกหลายๆ ปี เพื่อตอกย้ำว่าเรายังอยู่ตรงนี้ ยังเป็นผู้ผลิตที่มีความน่าเชื่อถือ และเป็นผู้ผลิตที่ผลิตสินค้าที่มีคุณภาพ มีสินค้าที่พัฒนาใหม่ๆ คุณจ่ายเงินซื้อสินค้าของเรา คุณได้รับของแน่นอน และได้รับของดีมีคุณภาพด้วย

ภูมิอากาศ ความผันผวนของราคาวัตถุดิบ และกฎระเบียบในการนำเข้าสินค้า คือปัญหาสำคัญในการทำตลาดส่งออกต่างประเทศ

ปัญหาที่เจอ ในประเทศคือเรื่องของวัตถุดิบพืชผลทางการเกษตรที่ค่อนข้างผันผวน ขึ้นอยู่กับฝน ฟ้า อากาศ ผลผลิตจะออกมากน้อยแค่ไหน ราคาจะอยู่ที่เท่าไหร่ เป็นเรื่องของการบริหารจัดการวัตถุดิบสด ถือเป็นความท้าทายของทุกโรงงาน รวมถึงความผันผวนของราคาบรรจุภัณฑ์ ซึ่งบริษัทเราใช้กระป๋องเหล็กในการบรรจุน้ำผลไม้ ซึ่งต้องนำเข้าจากต่างประเทศ อีกทั้งมีผู้ผลิตไม่กี่รายที่ผลิตเหล็กในลักษณะสัมผัสอาหาร

สิ่งสำคัญที่ทำให้ธุรกิจไปต่อได้ อย่างแรกคือ บริษัทต้องมีทุนหมุนเวียน รวมถึงมีการคาดการณ์เกี่ยวกับปัจจัยภายนอกที่ไม่สามารถควบคุมได้ เช่น น้ำท่วม ฝนตก ความแห้งแล้ง ซึ่งทีมงานของเราคุ้นชินกับสิ่งเหล่านี้ เพราะทำข้าวเกรียบมโนห์รามานาน รู้จักและมีความสัมพันธ์ที่ดีกับซัพพลายเออร์พอสมควร รวมถึงการรับออเดอร์ลูกค้า ต้องดูว่าออเดอร์ต่อเนื่องแค่ไหน ถ้าออเดอร์ต่อเนื่องมากๆ ก็ง่ายในการบริหารจัดการวัตถุดิบ เพราะการบริหารวัตถุดิบจะสอดคล้องกับการรับออเดอร์

ส่วนต่างประเทศเริ่มแรกที่ทำน้ำผลไม้ก็อาจจะมีปัญหาเรื่องวัตถุดิบสดบ้าง แต่สามารถบริหารจัดการได้ เมื่อแตกกลุ่มสินค้าใหม่ออกมามีปัจจัยการผลิตที่เราคาดไม่ถึงเกิดขึ้น เราถามข้อมูลจากลูกค้าไม่ละเอียดพอก็ส่งผลถึงการผลิต ดังนั้นอินเตอร์ดริ๊ง์จึงให้ความสำคัญกับวิทยาศาสตร์การอาหารมาก เพื่อตอบโจทย์ลูกค้าที่มีหลากหลาย ผลิตสินค้าที่มีคุณภาพและมีความปลอดภัยต่อผู้บริโภค

ความยากอีกอย่างของการส่งสินค้าไปต่างประเทศคือ เรื่องกฎระเบียบการนำเข้าสินค้าของแต่ละประเทศที่แตกต่างกัน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเรื่องของส่วนผสมของสินค้า เช่น อะไรใส่ได้ อะไรใส่ไม่ได้ ส่วนผสมอะไรอนุญาตหรืออะไรไม่อนุญาต เพราะแต่ละประเทศมีกฎหมายด้านการกระทรวงสาธารณสุขที่ต่างกัน

วางกลยุทธ์ทำธุรกิจให้ประสบความสำเร็จผ่านทฤษฏี หิว

กลยุทธ์ทางการตลาดส่วนใหญ่จะใช้ทฤษฎี หิว คือ ถ้าคนหิว ก็กระหายอยากทำงาน และถ้าเราหิวตลอดเวลาก็เปรียบได้กับเราอยากได้ออเดอร์อยู่ตลอด พยายามขยายช่องทางในการขายที่ไม่ใช่จมอยู่กับประเทศหลักๆ ประเทศเดียว เกิดวันหน้ามีปัญหาแล้วประเทศนั้นไม่สั่งซื้อสินค้าของเรา เราก็ตาย แต่ทฤษฎี “หิว” นี้ก็ต้องสื่อสารกับทางโรงงานว่าหากเรารับออเดอร์มา โรงงานผลิตสินค้าให้ลูกค้าได้ทันท่วงทีมั้ย เราต้องการทำอะไร ทิศทางลมของแมนเนจเมนท์ปีนี้เป็นอย่างไรบ้าง เวลาไปออกงานแสดงสินค้าต้องดูกลุ่มเป้าหมายว่า แต่ละกลุ่มต้องการขายอะไร และอย่าหยุดที่จะหาลูกค้าป้อนโรงงานอยู่เรื่อยๆ ออเดอร์เล็กๆ น้อยๆ เก็บให้หมด เพราะวันนี้เล็กวันหน้าไม่ได้หมายความว่าจะเล็กเสมอไป

การดูแลลูกค้าทั้งรายเล็กและรายใหญ่ เรายังคงใช้นโยบายเดิมคือ ดูแลแบบเท่าเทียมกัน ลูกค้าเดิมต้องดูแลรักษาให้ดี ลูกค้าใหม่ก็ต้องใส่ใจสร้างให้เค้าเติบโต ภายภาคหน้าลูกค้าก็จะสั่งซื้อสินค้าของเราอย่างต่อเนื่อง ดังนั้นเราพยายามจะใช้ทฤษฏี “หิว” หาเรื่อยๆ ไม่ทิ้งลูกค้าเก่า พร้อมกับขยายฐานลูกค้ารายใหม่ๆ รวมถึงในส่วนของการจัดการในโรงงานก็ต้องพยายามปรับให้มีประสิทธิภาพในการทำงานมากขึ้น

แนะ SMEsไทยคิดจะทำตลาดส่งออกสินค้าต้องมีใจรักและอดทน

รักจะทำโรงงานต้องมีใจอดทน ทำด้วยความสนุก สนุกกับการทำงาน คิดว่าทุกอย่างคือความท้าทาย ถ้าไม่อย่างนั้นจะท้อแท้และเหนื่อย ไม่ใช่เห็นคนอื่นรวยแล้วอยากจะทำบ้าง แบบนั้นเหนื่อย ขอให้ใจรัก รักที่จะทำ ประเด็นสำคัญคือ คู่ค้าที่ดีที่คอยให้การสนับสนุนทั้งคู่ค้าที่เป็นลูกค้า และคู่ค้าที่คอยซัพพอร์ตเรื่องเงินทุน เพราะ SMEs ส่วนใหญ่ใช้เงินหมุนเวียน มีเงินของตัวเองส่วนหนึ่ง และต้องได้รับการสนับสนุนอีกส่วนหนึ่งจากทางธนาคาร เพื่อให้เดินไปด้วยกันได้ จึงจะสามารถทำให้วงกลมเศรษฐกิจของประเทศไทยหมุนได้ เพราะฐานของประเทศจริงๆ คือ SMEs ซึ่งตอนนี้มีอยู่เยอะมาก


ข้อมูลจาก http://ไปที่..link..
การผลิต ไวน์มะพร้าวน้ำหอม เพิ่มมูลค่าการขายมะพร้าวให้สูงขึ้น
การผลิต ไวน์มะพร้าวน้ำหอม เพิ่มมูลค่าการขายมะพร้าวให้สูงขึ้น
มะพร้าว เป็นพืชที่ปลูกกันทั่วไปทุกภาคของไทย มีผลผลิตตลอดทั้งปี นำไปใช้ประโยชน์ได้ทุกส่วนของมะพร้าว เช่น เนื้อมะพร้าว ใช้ทำอาหารทั้งคาวและหวาน น้ำมะพร้าวอ่อนใช้ดื่มแก้กระหาย ใบมะพร้าวใช้ห่อขนม จักสาน หลังคา ต้นมะพร้าวใช้แทนไม้ในการก่อสร้าง กะลาใช้ทำเครื่องดนตรีและถ่านที่มีคุณภาพ รากใช้เป็นยาแก้ท้องเสีย ขับปัสสาวะ หรืออมบ้วนแก้เจ็บคอ น้ำมันมะพร้าวใช้เป็นยาบำรุงกำลัง บำรุงหัวใจใช้ทาบำรุงผม น้ำมะพร้าวใช้เป็นยาระบาย แก้ท้องเสีย ขับปัสสาวะ แก้อาเจียนเป็นโลหิตและบวมน้ำ ทำเป็นน้ำส้มสายชู

อีกหนึ่งแนวทางเพิ่มมูลค่ามะพร้าวที่น่าสนใจ คือ การทำไวน์มะพร้าว โดยทั่วไป ผลไม้ที่นำมาผลิตเป็นไวน์ส่วนใหญ่ นิยมใช้ผลไม้ที่มีรสเปรี้ยว เช่น กระเจี๊ยบ หม่อน สตรอว์เบอร์รี่ องุ่น ฯลฯ เพราะทำได้ง่าย แต่การทำไวน์จากมะพร้าว ซึ่งมีความหวานและกลิ่นหอม จึงทำได้ยากกว่าผลไม้อื่น เพราะต้องใช้เทคนิคพิเศษ เพื่อให้ได้ไวน์ที่มีคุณภาพ และมีรสชาติอร่อย จึงขอนำเสนอเทคนิคการทำไวน์มะพร้าวใน 2 รูปแบบ จากภูมิปัญญาชาวบ้าน

การผลิตไวน์มะพร้าวน้ำหอมบนต้น จากภูมิปัญญาชาวบ้าน จ.ขอนแก่น

นายสมร ไชโยธา อยู่บ้านเลขที่ 73 หมู่ที่ 3 บ้านท่าเรือ ตำบลเขื่อนอุบลรัตน์ อำเภออุบลรัตน์ จังหวัดขอนแก่น ได้ค้นพบวิธีการ ผลิตไวน์มะพร้าวน้ำหอมติดอยู่บนต้น ได้อย่างน่าทึ่ง และเพิ่มมูลค่าของมะพร้าวน้ำหอม เมื่อทำเป็นไวน์แล้วสามารถขายได้ราคาสูง

ย้อนกลับเมื่อประมาณ 60 ปีก่อน คุณพ่อของคุณสมรเคยทำไวน์มะกอกบนต้น เพราะมีความเชื่อว่า เป็นยาอายุวัฒนะ โดยใช้ต้นมะกอกป่า (ใช้ผลทำส้มตำ) ขนาดโต ใช้สิ่วเจาะเข้าไปในลำต้นให้เป็นแอ่งหลังจากเจาะแล้วจะมีน้ำหยดลงมาขังอยู่ที่แอ่ง จากนั้นใส่แป้งเหล้าเข้าไปหนึ่งก้อน แล้วใช้กิ่งมะกอกทำเป็นลิ่มตอกปิดไว้ จะทำในช่วงเข้าพรรษาเมื่อออกพรรษาก็นำมาดื่มกิน

คุณสมรจึงเกิดแรงบันดาลใจนำความรู้ที่ได้จากคุณพ่อ นำมาผลิตไวน์มะพร้าวน้ำหอมติดอยู่บนต้น ปรากฎว่าได้ไวน์มะพร้าวที่มีรสชาติดีเช่นกัน คุณสมรจัดเตรียมวัสดุอุปกรณ์สำคัญคือ แป้งข้าวหมาก (ยีสต์) เหล้าขาวหรือเหล้าฝรั่ง เข็มฉีดยาขนาดใหญ่พร้อมไซริงจ์ ตะปูห้า เทปกาว บันได ต้นมะพร้าวและผลอ่อน

ขั้นตอนการทำ เริ่มจากใช้ยีสต์ ก้อนขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 1 นิ้วครึ่ง ใช้ครึ่งก้อนบดให้ละเอียดผสมกับเหล้าขาวขวดกั๊กคือ ประมาณ 150 ซีซี คนให้เข้ากัน จากนั้นใช้ตะปูตอกเข้าที่บริเวณด้านบนของผลมะพร้าวอ่อนจำนวน 2 รู และใช้ไซริงจ์ดูดส่วนผสมและฉีดเข้าไปที่ผลมะพร้าวอ่อนที่ยังติดอยู่บนต้น ผ่านทางรอยตอกของตะปู โดยฉีดเข้าไปปริมาณ 1.5 ซีซี ต่อผล จากนั้นใช้เทปกาวปิดรูทั้งสองรู ปล่อยทิ้งไว้ 10-15 วัน

จากนั้นตัดลงมาใช้มีดเฉือนที่ส่วนหัวของผล ใส่หลอดดูด ดูดเอาของเหลวภายในผลมะพร้าว ซึ่งก็คือไวน์นั่นเอง จะได้ไวน์มะพร้าวน้ำหอมที่รสชาติอร่อย ซึ่งเหล้าขาวขนาด 150 ซีซี (ขวดกั๊ก) สามารถผลิตไวน์มะพร้าวน้ำหอมได้ประมาณ 100 ผล

ไวน์มะพร้าวน้ำหอม …

การผลิตไวน์มะพร้าว เริ่มจากจัดเตรียมอุปกรณ์สำคัญ ได้แก่

1. ขวดแก้วสำหรับหมัก ขนาด 10 ลิตร เกษตรกรที่มีประสบการณ์แล้วอาจจะเพิ่มปริมาณการผลิต โดยการหมักในถังบรรจุน้ำดื่มที่มีขายทั่วไป หาจุกปิดที่ช่วยระบายก๊าซที่เกิดจากการหมัก แต่อากาศจากภายนอกจะเข้าไปไม่ได้
2. หัวเชื้อสำหรับหมักไวน์
3. เนื้อมะพร้าวและน้ำมะพร้าว

ขั้นตอนการเตรียมหัวเชื้อ เริ่มปอกมะพร้าวเพื่อนำน้ำมะพร้าวเทลงในภาชนะโดยผ่านการกรองจากผ้าขาวบาง เติมเชื้อลงไปเพื่อปรับให้มีความเป็นกรด จากนั้นตั้งทิ้งไว้ที่อุณหภูมิห้อง ประมาณ 24 ชั่วโมง

ขั้นตอนการหมัก เติมหัวเชื้อในน้ำมะพร้าว ปริมาตร 8 ลิตร ปรับความหวานให้ได้ 20 บริกซ์ (หน่วยวัดความหวาน) เติมเนื้อมะพร้าวที่ขูดกว้าง ประมาณ 1 นิ้ว ยาว 2 นิ้ว หนา 0.25 นิ้ว ในปริมาณที่พอเหมาะเพื่อจะได้มีกลิ่นหอม หากใส่เนื้อมะพร้าวมากจะเหลือพื้นที่สำหรับน้ำมะพร้าวน้อย จากนั้นจึงปิดฝาด้วยจุกที่อากาศผ่านออกได้แต่อากาศภายนอกเข้าไม่ได้ หมักไว้นาน 10-15 วัน จึงดูดออกมาพักให้ตกตะกอน จากนั้นจึงนำไปพาสเจอไรซ์ เพื่อฆ่าเชื้อ เป็นอันเสร็จขั้นตอนแรก จากนั้นจึงถึงขั้นตอนการบ่ม การบ่มจะนานเท่าไรก็ได้ ยิ่งบ่มนานก็จะได้รสชาติที่ดี กลมกล่อม หอมหวาน

การหมักจะต้องใช้ภาชนะที่ทึบแสง หลีกเลี่ยงการใช้ภาชนะที่เป็นโลหะ เนื่องจากการหมักนาน ๆ กระที่เกิดอยู่ภายใน อาจจะกัดกร่อนโลหะ เป็นอันตรายต่อผู้บริโภคได้ในอนาคตต่างประเทศนิยมบ่มในถังไม้โอ๊ก แต่เมืองไทย สามารถประยุกต์ใช้โอ่งมังกรและใช้ฝาถังน้ำพลาสติกได้ ซึ่งการคาดฝาโอ่งปิดปากจะต้องปิดให้แน่นหนา มีช่องหรือรูระบายให้ก๊าซออก แต่อากาศภายนอกเข้าไม่ได้เท่านั้น



ข้อมูลจาก http://ไปที่..link..
อยากขายของ ในห้าง ต้องอ่าน!
อยากขายของ ในห้าง ต้องอ่าน!
เชื่อแน่ว่าผู้ประกอบการธุรกิจ SMEs อยากขายของ และอยากจะให้สินค้าของตัวเองมียอดขายพุ่งกระฉุดกันทุกคน แต่ด้วยข้อจำกัดที่มากมายของธุรกิจ SMEs ก็อาจเป็นได้แค่เติบโตแบบค่อยเป็นค่อยไป แต่ถ้าเป็นไปได้ผู้ประกอบการหลายรายก็อยากจะให้สินค้าของตัวเองเข้าไปวางขายบนชั้นวางสินค้าของห้างสรรพสินค้า ซุปเปอร์มาร์เก็ต รวมถึงร้านสะดวกซื้อต่างๆ เพราะจะสามารถเพิ่มยอดขายให้กับสินค้าได้อย่างแน่นอน

แต่การจะนำสินค้าเข้าไปขายในห้างเหล่านั้นไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ก็ไม่ยากเกินความสามารถของ SMEs มากนัก ถ้ามีความพยายามและตั้งใจอย่างแน่วแน่ โดยไม่ยอมแพ้ต่ออุปสรรคใดๆ วันนี้ มีเคล็ดลับการขายสินค้าผ่านช่องทางห้างสรรพสินค้า ซุปเปอร์มาร์เก็ต รวมถึงร้านสะดวกซื้อให้ประสบความสำเร็จ มาฝากผู้ประกอบการธุรกิจ SMEs ที่มีสินค้าดี และกำลังมองหาช่องทางการขายเหล่านี้

1.สินค้าต้องมีแบรนด์ ถึงแม้ว่าธุรกิจของคุณจะเป็น SMEs แต่ถ้าอยากจะติดปีกบินไปในท้องฟ้าที่กว้างใหญ่จำเป็นต้องมีแบรนด์สินค้า เพราะเป็นสิ่งที่จะทำให้ลูกค้าสามารถจดจำสินค้าของคุณได้ง่ายขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการตั้งชื่อต้องจดจำได้ง่าย และสะท้อนถึงตัวตนสินค้าของคุณ อีกทั้งแพ็คเกจสินค้าต้องโดดเด่นสวยงามมีเอกลักษณ์ ดึงดูดสายตาลูกค้าได้ เพราะช่องการขายขนาดใหญ่เหล่านี้ ไม่ได้มีสินค้าของคุณวางจำหน่ายเพียงแบรนด์เดียว แต่มีสินค้าวางจำหน่ายเป็นจำนวนมาก

2.ต้องสร้างความแตกต่าง หากคุณต้องการขายสินค้าในห้างให้ประสบความสำเร็จ สินค้าของคุณต้องมีความแตกต่างจากแบรนด์อื่น เพราะจะสามารถสร้างความได้เปรียบมากกว่าสินค้าอื่นๆ อีกกว่าร้อยหรือพันรายการ ซึ่งจะเป็นเรื่องยากที่ลูกค้าจะหยิบหรือก้มดูสินค้าถ้าสินค้าของคุณไม่มีความแตกต่าง เพราะโดยพฤติกรรมของลูกค้าส่วนใหญ่มักจะเดินไปที่สินค้าใหม่ๆ แปลกตา ซึ่งความแตกต่างของสินค้าจะเป็นจุดขายที่จะให้สินค้าคุณสามารถแข่งขันกับแบรนด์ใหญ่ๆ ที่วางขายในช่องทางเดียวกันได้

3.ต้องรักษาคุณภาพสินค้า คุณภาพสินค้าเป็นเรื่องสำคัญที่คุณต้องเอาใจใส่มากๆ เรียกได้ว่าจะต้องรักษาเอาไว้ยิ่งชีพเลยก็ว่าได้ เพราะในการเลือกซื้อสินค้าของลูกค้า คงคาดหวังว่าคุณภาพสินค้าที่ซื้อในวันนี้จะเหมือนกันกับที่ซื้อไปเมื่อครั้งก่อน หากคุณรักษาคุณภาพมาตรฐานสินค้าเอาไว้ก็จะทำให้ลูกค้ากลับมาซื้อซ้ำไปเรื่อยๆ คงไม่มีใครที่จะซื้อสินค้าที่มีคุณภาพแค่เพียงครั้งเดียว อีกทั้งถ้าคุณไม่รักสามารถรักษาคุณภาพสินค้าให้คงที่เหมือนเดิมได้ โอกาสที่สินค้าคุณจะถูกยกเลิกให้ขายในห้างก็มีสูง

4.ต้องส่งสินค้าต่อเนื่อง ถือเป็นหัวใจสำคัญที่จะทำให้ธุรกิจ SMEs ประสบความสำเร็จและมียอดขายเพิ่มกระฉูดดั่งใจหวัง เพราะการส่งสินค้าเข้าไปวางขายในห้างหรือร้านสะดวกซื้ออย่างต่อเนื่อง จะทำให้ลูกค้ามองเห็นสินค้าของคุณอย่างสม่ำเสมอ คนหนึ่งซื้อไปแล้วคนต่อไปก็สามารถหยิบจับและซื้อต่อได้ด้วย ไม่ใช่ซื้อไปแล้วคนหนึ่ง คนต่อไปต่อไปไม่สามารถหาซื้อได้ ดังนั้น หากคุณสามารถผลิตและส่งสินค้าอย่างต่อเนื่อง สม่ำเสมอ ไม่ขาดตลาด ก็จะเพิ่มโอกาสให้ธุรกิจคุณมียอดขายเพิ่มขึ้น อีกทั้งยังทำให้คู่ค้าที่เป็นช่องทางการขายทั้งหลาย ให้ความไว้วางใจสินค้าของคุณให้ขายในห้างต่อไปได้ แต่ก็มี SMEs หลายรายที่สามารถนำสินค้าเข้าไปขายในช่องทางเหล่านั้นได้ ต้องหลุดจากวงโคจรไป เพราะไม่สามารถผลิตและส่งสินค้าได้ทันเวลาที่กำหนดไว้ได้ หากคุณต้องการประสบความสำเร็จ ต้องทำการประเมินกำลังการผลิตสินค้าให้เพียงพอต่อการสั่งซื้อด้วย

5.ต้องมีความสามารถเจรจาต่อรอง หากคุณมีความสามารถในการเจรจาต่อรองกับคู่ค้าที่เป็นช่องทางการขายขนาดใหญ่แล้ว ก็จะเป็นการเปิดประตูโอกาสให้สินค้าคุณเข้าไปวางขายได้ โดยคุณต้องพึงระลึกอยู่เสมอว่าสินค้าของคุณดีมีคุณภาพ ลูกค้าซื้อไปแล้วต้องกลับมาซื้อซ้ำอย่างแน่นอน ดังนั้น ถ้าคุณคิดที่จะนำสินค้าไปขายในช่องทางเหล่านี้ ต้องกล้าที่จะเข้าไปเจรจาต่อรองอย่างสมเหตุสมผล ว่าทำไมสินค้าของคุณจึงเหมาะที่จะขายในห้างหรือร้านสะดวกซื้อ เพื่อให้ได้มาซึ่งสัญญาการซื้อขายนั่นเอง สำหรับแบรนด์สินค้าตัวอย่างที่คนพูดถึงกันมาก ที่สร้างนวัตกรรมใหม่ให้กับสินค้า จนสามารถเข้าไปวางขายในร้านสะดวกซื้ออย่าง 7-11

กระทั่งประสบความสำเร็จและมียอดขายพุ่งกระฉุด เติบโตเป็นบริษัทขนาดใหญ่ก็มี ซึ่งผู้บริโภคหลายๆ คนอาจไม่คิดว่าสินค้าเหล่านี้จะสามารถขายได้ในช่องทางการขายเหล่านี้ นั่นเพราะสินค้าเหล่านี้มีการคิดค้นนวัตกรรมการผลิตที่แตกต่าง แปลกใหม่ บรรจุภัณฑ์สวยงาม มีคุณภาพ รสชาติอร่อย ได้แก่ ข้าวโพดต้ม (แบรนด์ วี คอร์น) เพิ่งเปิดตัวสู่ตลาดได้เพียงแค่ 6 เดือน แตกต่างจากข้าวโพดต้มข้างถนน เก็บได้นานถึง 8 วันในตู้เย็น บรรจุภัณฑ์มีความแปลกใหม่ดึงดูดสายตาผู้บริโภคได้ดี รสชาติอร่อย หวาน หอม ไม่ติดฟัน

กล้วยปิ้ง แบรนด์ Dole กล้วยปิ้ง ปัจจุบันไม่เพียงมีแค่แบบเสียบไม้ขายข้างทาง แต่ถูกยกระดับทำออกมาในรูปแบบสำเร็จรูปวาวขายใน 7-11 บรรจุภัณฑ์สวยงามปลอดภัย ภายในมีน้ำจิ้มให้ด้วย รสชาติอร่อย ถือเป็นการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่แปลกใหม่ แต่เดิมหาซื้อกินได้เฉพาะกลางวัน แต่เดี๋ยวนี้สามารถซื้อกินได้ตลอด 24 ชั่วโมง สาหร่ายอบกรอบทะเล แบรนด์ เถ้าแก่น้อย เป็นสินค้าที่ผู้บริโภครู้จักกันเป็นอย่างดี เติบโตจากธุรกิจ SMEs จนสามารถเข้าตลาดหุ้นได้สำเร็จ โดยเถ้าแก่น้อยสร้างความแตกต่างในตลาดขนมขบเคี้ยวแบบเดิมๆ แม้เริ่มต้นจะผลิตขายในห้างไม่ได้เนื่องจากกระบวนการผลิตไม่ได้มาตรฐาน

จนทำการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงใหม่ พัฒนาผลิตภัณฑ์ที่มีรสชาติอร่อย บรรจุภัณฑ์ที่สวยงามเทียบเท่าญี่ปุ่น กระทั่งสามารถตอบสนองและครองใจผู้บริโภคได้สำเร็จ คุณได้เห็นแล้วว่า หากสามารถนำสินค้าที่ตัวเองผลิตขึ้นมาไปวางขายในห้างหรือร้านสะดวกซื้อต่างๆ ได้ ก็จะเป็นโอกาสในการขยายตลาดให้กับสินค้าของคุณได้มากเลยทีเดียว เพราะช่องทางการขายเหล่านั้นมีมากมายกระจายทั่วประเทศ แต่ทั้งนี้ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายนักที่จะสามารถเข้าไปได้ ดังนั้น หากโอกาสนั้นมาถึง คุณต้องรักษาประโยชน์เอาไว้ให้จงได้ครับ

ข้อมูลจาก http://ไปที่..link..ยากขายของ-ในห้าง-ต้องอ่าน/
เลี้ยงไก่ไข่อินทรีย์ ต้นทุนต่ำ ทำกำไรตัวละ 3 บาทต่อวัน
เลี้ยงไก่ไข่อินทรีย์ ต้นทุนต่ำ ทำกำไรตัวละ 3 บาทต่อวัน
ไข่ไก่ ถือเป็นสินค้าเกษตรที่มีความต้องการสูง แต่ปริมาณผลผลิตไข่ไก่ในแต่ละวันที่ป้อนเข้าสู่ตลาดก็สูงเช่นกัน เมื่อเทียบกับอัตราการบริโภคเฉลี่ยของคนไทยที่น้อยกว่าปริมาณผลผลิตต่อวัน เรียกว่าโอเวอร์ซัพพลาย เพราะฉะนั้นเมื่ออุปสงค์-อุปทานไม่สมดุลกันเช่นนี้ จึงเป็นที่มาของปัญหาราคาไข่ไก่ตกต่ำ ส่งผลให้เกษตรกรต้องแบกรับภาวะขาดทุนอยู่บ่อยครั้ง เป็นสาเหตุทำให้เกษตรกรหลายรายปรับเปลี่ยนวิธีการเลี้ยง จากเคยเลี้ยงในโรงเรือนระบบปิดหรือเลี้ยงในกรงตับ เปลี่ยนมาเลี้ยงในระบบเปิดแทน เน้นปล่อยให้หาอาหารกินเองตามธรรมชาติ หรือบางฟาร์มที่พัฒนาไปกว่านั้นคือการเลี้ยงแบบระบบอินทรีย์ เพื่อลดคู่แข่งทางการตลาด เน้นกลุ่มเป้าหมายเป็นคนรักสุขภาพ แถมยังขายไข่ได้ราคาสูงกว่าไข่ที่เลี้ยงในระบบปิดทั่วไปอีกด้วย

คุณศุภกร ชินบุตร หรือ พี่จี๊ป เจ้าของบ้านสวนสานสุข-ฟาร์มเกษตรอินทรีย์ฮาร์เวสท์ไลฟ์
คุณศุภกร ชินบุตร หรือ พี่จี๊ป เจ้าของบ้านสวนสานสุข-ฟาร์มเกษตรอินทรีย์ฮาร์เวสท์ไลฟ์ ตั้งอยู่ที่ เลขที่ 126/10 หมู่ที่ 5 ตำบลอ่างหิน อำเภอปากท่อ จังหวัดราชบุรี อดีตพนักงานประจำของฟาร์มเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ ผันตัวทำเกษตรผสมผสาน ปลูกพืชเลี้ยงสัตว์ สร้างระบบหมุนเวียนภายในสวน ลดต้นทุน สร้างรายได้เข้ากระเป๋าทุกวัน

พี่จี๊ป เล่าถึงจุดเริ่มต้นการเลี้ยงไก่ไข่อินทรีย์ให้ฟังว่า ก่อนที่จะลาออกจากงานประจำตนเองได้มีการวางแผนไว้ล่วงหน้าก่อนแล้วว่าจะทำเกษตรอินทรีย์ แต่ยังไม่เจาะจงว่าจะต้องเลี้ยงไก่ เน้นพุ่งเป้าไปที่การปลูกพืชผสมผสาน ได้ระยะเวลาประมาณ 1 ปี ก็ต้องประสบกับที่ประเทศไทยอยู่ในภาวะแล้งจัด ไม่มีน้ำสำหรับการเพาะปลูก ซึ่งในตอนนั้นที่สวนได้เลี้ยงไก่ไข่ไว้ ประมาณ 20 ตัว ไว้สำหรับบริโภคในครัวเรือน แต่บริโภคเองยังไงก็บริโภคไม่หมด พี่ที่ทำเกษตรอินทรีย์ด้วยกันจึงแนะนำให้นำเอาไข่ไก่ส่วนที่เหลือไปขาย แล้วได้ผลตอบรับที่ดีมากๆ จึงเป็นจุดเริ่มต้นในการศึกษาวิธีการเลี้ยงไก่เพิ่มเติม และเริ่มเลี้ยงไก่ไข่อินทรีย์เป็นอาชีพสร้างรายได้หลักได้เป็นระยะเวลากว่า 6 ปี

สีของเปลือกไข่เป็นสีน้ำตาล เป็นที่ต้องการของตลาด
เจ้าของบอกว่า ปัจจุบันที่ฟาร์มของตนเองเน้นเลี้ยงไก่ไข่อินทรีย์เป็นอาชีพหลักสร้างรายได้ ส่วนการปลูกพืชผสมผสานถือเป็นการสร้างรายได้เสริมเป็นรายปี โดยตอนนี้ที่ฟาร์มเลี้ยงไก่อยู่ประมาณ 900 ตัว จากจุดเริ่มต้นมาจาก 20 ตัว ค่อยๆ ศึกษาทุกเรื่องที่เกี่ยวกับไก่ ทั้งในเรื่องของโรค และการจัดการต่างๆ แล้วจึงค่อยเพิ่มจำนวนการเลี้ยงขึ้น จาก 20 ตัว เพิ่มเป็น 50 ตัว 100 ตัว 400 ตัว จนปัจจุบันเลี้ยงอยู่ 900 ตัว

เลือกเลี้ยงไก่ไข่ สายพันธุ์ไฮบริด มีจุดเด่นคือ ให้ไข่ดก ฟองใหญ่ สีของเปลือกไข่เป็นสีน้ำตาล ซึ่งเป็นสีของไข่ไก่ที่ตลาดต้องการ ตอบโจทย์กับตลาดในเมืองไทย

แม่ไก่แข็งแรง สมบูรณ์ ทุกตัว

ได้เวลากินอาหาร
ซึ่งการเลี้ยงไก่ไข่อินทรีย์ถือเป็นเรื่องที่ไม่ง่ายนัก เนื่องจากว่าไก่สายพันธุ์นี้ถูกออกแบบมาให้เลี้ยงในระบบโรงเรือนปิดหรือเลี้ยงในกรงตับ แต่พอนำมาเลี้ยงในระบบโรงเรือนเปิด เน้นเลี้ยงแบบปล่อยตามธรรมชาติเป็นหลัก จำเป็นต้องใช้การดูแลเอาใจใส่เป็นพิเศษ มีการแบ่งพื้นที่เลี้ยงในสัดส่วนที่เหมาะสม และได้มาตรฐานสำหรับการเลี้ยงไก่ไข่อินทรีย์ ในพื้นที่ 1 ไร่ เลี้ยงไก่ได้ประมาณ 400 ตัว ประกอบกับในพื้นที่มีการปลูกไม้ผล ไม้ยืนต้นอื่นๆ ไว้เพื่อให้ร่มเงากับไก่ และเจ้าของสวนสามารถเก็บผลผลิตจากไม้ผล ไปขายในการสร้างรายได้เพิ่มอีกช่องทางหนึ่ง

วิธีการเลี้ยง

ปล่อยให้คุ้ยเขี่ยหาอาหารกินเองตามธรรมชาติ

ถึงเวลาให้อาหารเสริมวิตามินจากธรรมชาติ ทำให้ได้ไข่ไก่ที่มีคุณภาพดี ไม่มีกลิ่นคาว
ที่ฟาร์มเริ่มเลี้ยงไก่ไข่จากลูกเจี๊ยบ ไม่ขังกรง มีพื้นที่ปล่อยให้ไก่สามารถแสดงพฤติกรรมทางธรรมชาติได้ คือการคุ้ยเขี่ยหาอาหารเองตามธรรมชาติ และอาหารที่ใช้เลี้ยงมีแหล่งที่มาเป็นอินทรีย์ทั้งหมด ปราศจากยาปฏิชีวนะ ไม่มีการใช้สารเคมีหรือฮอร์โมนเร่ง แต่จะใช้วิธีให้ผลไม้สุกหรือสมุนไพรตามธรรมชาติเป็นยาแทน ทำให้ได้ไข่ไก่ที่มีคุณภาพดี ไม่มีกลิ่นคาว
ต้องมีโรงเรือนไว้สำหรับให้แม่ไก่หลบแดด หลบฝน ส่วนพื้นที่ปล่อยเป็นพื้นที่ไว้สำหรับให้ไก่ได้ออกกำลังกาย ได้คุ้ยเขี่ยหาอาหาร ได้นอนคลุกฝุ่น จะทำให้ไก่มีสุขภาพที่ดี และหมั่นสังเกตพฤติกรรมของไก่เป็นประจำ

การเอาใจใส่ ถือเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในการเลี้ยงสัตว์ทุกชนิด จะเป็นสัตว์บกหรือสัตว์น้ำล้วนแล้วต้องการการเอาใจใส่เหมือนกันเพราะเราปฏิเสธไม่ได้ว่าภาคการเกษตรแตกต่างจากภาคอุตสาหกรรมอย่างหนึ่งคือ ภาคอุตสาหกรรมเมื่อเราใส่อินพุตไปเท่าไหร่ เอาต์พุตจะได้ออกมาเท่ากับที่เราคำนวณไว้ แต่ภาคเกษตรกรรมบางทีเราใส่อินพุตเข้าไป แต่เอาต์พุตที่ได้อาจจะติดลบ หรืออาจจะบวกมากกว่าปกติ มันขึ้นอยู่กับทั้งปัจจัยสภาพแวดล้อม กับการดูแลเอาใจใส่ เพราะว่าสัตว์เป็นสิ่งมีชีวิต พอเราไม่เอาใจใส่บางทีเขาก็มีการเจ็บป่วย มีการล้มตาย หรือบางทีทำให้ทั้งฟาร์มเกิดโรคระบาด มันก็ส่งผลเสียในระยะยาว หรือส่งผลเสียทั้งระบบได้ เพราะฉะนั้นเรื่องการเอาใส่ใจ หรือการสังเกตพฤติกรรมของเขาเป็นเรื่องสำคัญ

อาหาร ให้วันละ 2 ครั้ง เช้า-เย็น หลังจากให้อาหารเช้าเสร็จจะมีการล้างทำความสะอาดถังให้น้ำ และเปลี่ยนน้ำให้ไก่ รวมถึงคอยสังเกตสภาพอากาศในแต่ละวัน หากวันไหนอากาศร้อนจะเปิดสปริงเกลอร์รดน้ำบนหลังคาเพื่อช่วยลดอุณหภูมิ หรือช่วงไหนอากาศเย็นจะมีการเปิดไฟในโรงเรือน เพื่อเพิ่มความอบอุ่น หากเป็นช่วงที่ไก่อยู่ในช่วงออกไข่ ที่ฟาร์มจะเริ่มเก็บไข่ตั้งแต่ในช่วงสายถึงเที่ยง เพราะจะเป็นช่วงที่ไข่ออกเยอะ หลังจากเก็บไข่เสร็จจะนำมาเช็ดทำความสะอาด คัดไซซ์ และเตรียมส่งให้ลูกค้า

สูตรอาหารลดต้นทุน ไก่แข็งแรง เน้นใช้วัตถุดิบจากธรรมชาติเป็นหลัก ประกอบไปด้วย 1. ปลายข้าวหรือเปลือกข้าว 50 เปอร์เซ็นต์ 2. เปลือกหอยป่น 5 เปอร์เซ็นต์ 3. ปลาป่น 5 เปอร์เซ็นต์ 4. รำข้าว 10 เปอร์เซ็นต์ 5. สมุนไพร เช่น ฟ้าทะลายโจร บอระเพ็ด ขมิ้นชัน สับผสมรวมกัน ประมาณ 0.5 เปอร์เซ็นต์ ร่วมกับการให้ผลไม้สุกและหญ้าสดลงไปด้วย

แม่ไก่แข็งแรง สมบูรณ์ ทุกตัว
ระยะเวลาในการเลี้ยง ประมาณ 5-6 เดือน หรือประมาณ 20 สัปดาห์ เริ่มเก็บไข่ได้ในปริมาณเฉลี่ย 60-70 เปอร์เซ็นต์ หรือประมาณ 500 ฟองต่อวัน หากเทียบกับปริมาณผลผลิตของไก่ที่เลี้ยงเชิงอุตสาหกรรม จำนวนของที่ฟาร์มจะเก็บได้น้อยกว่า เนื่องจากการเลี้ยงในอุตสาหกรรมจะมีการเลี้ยงแบบขังกรง และมีการให้อาหารเสริมเพื่อเร่งให้ไข่ดก มีข้อเสียคือไข่จะมีอายุประมาณ 1-1 ปีครึ่ง เมื่อเทียบกับไก่ที่เลี้ยงแบบอินทรีย์จะให้ไข่ได้นานถึง 2 ปี ถึงครบกำหนดปลดระวาง

ระบบจัดการ Zero Waste ที่ฟาร์มจะมีจุดเด่นในเรื่องการใช้เศรษฐกิจหมุนเวียนภายในสวน หรือ Zero Waste ทำให้ในแต่ละวันแทบจะไม่มีขยะหรือของเสียออกจากฟาร์มเลย ด้วยวิธีการนำของเสียจากการผลิตสิ่งหนึ่ง ไปเป็นปัจจัยการผลิตอีกสิ่งหนึ่ง ตัวอย่างเช่น ที่ฟาร์มจะมีการทำนาปลูกข้าวไว้กิน และใช้เป็นวัตถุดิบในการเลี้ยงไก่ จำนวน 7 ไร่ ที่มีกระบวนการหลังจากการทำนาเสร็จ จะมีฟางข้าวและแกลบที่เป็นเปลือกข้าวเหลือ ซึ่งสิ่งเหล่านี้สามารถนำกลับมาใช้เลี้ยงไก่ได้ทั้งหมด คือนำปลายข้าวหรือรำข้าวมาเป็นอาหารให้ไก่ ส่วนฟางข้าวนำมาเป็นวัสดุรองพื้นหรือทำรังไว้ให้สำหรับแม่ไก่ฟักไข่ได้ทั้งหมด

และส่วนของเสียจากไก่คือมูลไก่ที่ถ่ายผสมออกมากับแกลบ ก็จะนำกลับไปใช้เป็นปุ๋ยในนาข้าว และตอซังจะใช้วิธีการหมักกับมูลไก่แล้วไถกลบ จะไม่มีการเผาเกิดขึ้น และไม่มีการสร้างมลพิษทางอากาศ

ข้อดีที่เห็นได้ชัด คือ

ช่วยลดต้นทุนได้อย่างแน่นอนเพราะว่าปัจจัยการผลิตต่างๆ ที่ต้องซื้อ เช่น ปุ๋ย หรืออาหารสัตว์ นับเป็นต้นทุนทั้งหมด แต่ถ้ามีการจัดสรรพื้นที่ให้พอเหมาะทั้ง 2 ทาง ทั้งการปศุสัตว์และการปลูกพืช แล้วทำให้เกิดเศรษฐกิจหมุนเวียนภายในฟาร์มเราแทบจะไม่ต้องซื้อปัจจัยการผลิตจากภายนอกเลย ทำให้ต้นทุนการเลี้ยงไก่มีค่อนข้างน้อยมากๆ
ทำให้เรารู้ถึงแหล่งที่มาของปัจจัยการผลิต ว่าปัจจัยการผลิตจากฟาร์มไม่ปนเปื้อนสารเคมีหรือไม่ปนเปื้อนสารตกค้างใดๆ ปลอดภัยทั้งกับผู้บริโภค 100 เปอร์เซ็นต์
ต้นทุนการดูแล เฉลี่ยประมาณ 1_800 บาทต่อวัน ราคาขายของไข่อินทรีย์ของที่ฟาร์มจะขายได้ราคาเฉลี่ยฟองละประมาณ 6 บาท ได้ราคาสูงกว่าไข่ที่เลี้ยงในระบบฟาร์มปิด คิดเป็นรายได้ต่อวันประมาณ 3_000 บาท หักต้นทุนออกประมาณ 40-50 เปอร์เซ็นต์ ตกค่าดูแลตัวละ 3-3.50 บาท ที่เหลือคือกำไร

ความแตกต่างระหว่างไข่อินทรีย์กับไข่ที่เลี้ยงระบบปิด

สีของไข่แดงจะแตกต่างจากไข่ทั่วไปตามท้องตลาด เพราะอาหารที่ใช้เลี้ยงเป็นอาหารจากธรรมชาติ ไม่มีสารเร่งสีไข่แดง จึงทำให้สีของไข่แดงจะออกเหลืองถึงเหลืองส้ม จะไม่ถึงกับส้มแดง
สีของเปลือกมีสีหลากหลาย มีทั้งสีเข้มและสีอ่อนผสมกัน มีผลมาจากการเลี้ยงแบบปล่อย ไก่แต่ละตัวคุ้ยอาหารตามธรรมชาติได้มากน้อยต่างกัน ส่งผลทำให้สีของเปลือกไข่เปลี่ยนไปตามแต่ละวัน ซึ่งข้อนี้จะต้องทำความเข้าใจกับลูกค้าให้เข้าใจด้วย

ไข่ 500 ฟอง ขายหมดทุกวัน
เน้นส่งโรงแรม ร้านอาหาร

พี่จี๊ป อธิบายให้ฟังว่า สำหรับการหาตลาดไม่เฉพาะแค่ไข่ไก่อินทรีย์เท่านั้น แต่รวมไปถึงในส่วนของสินค้าเกษตรอินทรีย์หรือสินค้าเกษตรทางเลือกชนิดอื่นๆ จำเป็นต้องกำหนดกลุ่มเป้าหมายลูกค้าให้ตรงกลุ่ม แล้วค่อยเจาะไปกลุ่มเป้าหมายนั้น โดยตลาดหลักของที่ฟาร์มตอนนี้เน้นส่งสินค้าให้กับโรงแรมและร้านอาหารเป็นหลัก รวมถึงการมีหน้าร้านขายประจำอยู่ที่ตลาดสุขใจสวนสามพราน ขายทุกวันเสาร์-อาทิตย์

ถ้าหากท่านใดสนใจการเลี้ยงไก่ไข่ถือเป็นอาชีพที่น่าสนใจ อย่างผมไม่ได้เลี้ยงแค่ไก่อย่างเดียว แต่ยังมีการปลูกพืชในรูปแบบของเกษตรทางเลือกทุกด้าน ไม่ว่าจะปลูกผักอินทรีย์ ผลไม้อินทรีย์ หรือการแปรรูปจากผลไม้หรือผักอินทรีย์ เพราะผมมองว่าในอนาคตคนจะสนใจในสินค้าทางเลือกมากขึ้น ในเรื่องของเทรนด์รักสุขภาพ และอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม เพราะฉะนั้นในการทำเกษตรที่เป็นทางเลือกพวกนี้ มันตอบโจทย์ทั้งในเรื่องของสุขภาพ สิ่งแวดล้อม และการพัฒนาชุมชนในเรื่องของสังคมด้วย เพราะคนสมัยใหม่ไม่ได้มองแค่ตัวสินค้าอย่างเดียว แต่เขามองลึกเข้าไปถึงว่าสินค้าตัวนี้ช่วยอะไรอย่างอื่นเพิ่มได้อีกไหม นอกจากแค่ซื้อกิน แต่สามารถช่วยพัฒนาชุมชน ช่วยพัฒนาสิ่งแวดล้อมด้วยไหม พี่จี๊ป กล่าวทิ้งท้าย


ข้อมูลจาก http://ไปที่..link..
632 เรื่อง หน้าละ 10 รายการ 63 หน้า, หน้าที่ 64 มี 2 รายการ
|-Page 41 of 64-|
1 | 2 | 3 | 4 | 5 | 6 | 7 | 8 | 9 | 10 | 11 | 12 | 13 | 14 | 15 | 16 | 17 | 18 | 19 | 20 | 21 | 22 | 23 | 24 | 25 | 26 | 27 | 28 | 29 | 30 | 31 | 32 | 33 | 34 | 35 | 36 | 37 | 38 | 39 | 40 | 41 | 42 | 43 | 44 | 45 | 46 | 47 | 48 | 49 | 50 | 51 | 52 | 53 | 54 | 55 | 56 | 57 | 58 | 59 | 60 | 61 | 62 | 63 | 64 |


กลุ่มทางใบปุ๋ยประสิทธิภาพสูง
*โปรดอ่าน ใช้ FK-1 ในช่วงแรก เพื่อเร่งโต เร่งราก เร่งดอก จับคู่กับ FK-3 ในช่วงเร่งผลผลิต พืชออกผลทุกชนิด ใช้ FK-1 กับ FK-3, นาข้าว ใช้ FK-1 กับ FK-3R (Rice), ไร่อ้อย ใช้ FK-1 กับ FK-3S (Sugarcane), มันสำปะหลัง ใช้ FK-1 กับ FK-3C (Cassava)

FK-1
สั่ง FK-1 กับ | ลาซาด้า | ช้อปปี้
FK-3
สั่ง FK-3 กับ | ลาซาด้า | ช้อปปี้
FK-3S
สั่ง FK-3S กับ | ลาซาด้า | ช้อปปี้
FK-3R
สั่ง FK-3R กับ | ลาซาด้า | ช้อปปี้
FK-3C
สั่ง FK-3C กับ | ลาซาด้า | ช้อปปี้


กลุ่มอินทรีย์ ปุ๋ย ยาปราบฯ
ที่ขายดีที่สุดบน ลาซาด้า

FKT250-IS250-499B
สั่งกับ | ลาซาด้า | ช้อปปี้
ไอเอส ขนาด 1ลิตร
สั่งไอเอสกับ | ลาซาด้า | ช้อปปี้
ไอเอส ขนาด 3ลิตร
สั่งไอเอส3ลิตร กับ | ลาซาด้า | ช้อปปี้
มาคา
สั่งมาคากับ | ลาซาด้า | ช้อปปี้
ไอกี้-บีที
สั่งไอกี้-บีทีกับ | ลาซาด้า | ช้อปปี้
FKT1L
สั่ง FK-T 1ลิตร กับ | ลาซาด้า | ช้อปปี้
FK ธรรมชาตินิยม
สั่งFK-T 250ซีซี กับ | ลาซาด้า | ช้อปปี้
ไอเอส ขนาด 250ซีซี
สั่งไอเอสกับ | ลาซาด้า | ช้อปปี้
FKT1L-IS1L-970B
สั่งกับ | ลาซาด้า | ช้อปปี้
FKT1L-MAKA-980B
สั่งกับ | ลาซาด้า | ช้อปปี้
FKT1L-AiKi-990B
สั่งกับ | ลาซาด้า | ช้อปปี้


กลุ่มเคมียาปราบฯประสิทธิภาพสูง

invet
สั่ง อินเวท กับ | ลาซาด้า | ช้อปปี้
metalaxyl
สั่ง เมทาแลคซิล กับ | ลาซาด้า | ช้อปปี้
carron
สั่ง คาร์รอน กับ | ลาซาด้า | ช้อปปี้


กลุ่มปุ๋ยทางใบผสมสูตรเองได้
เว็บระบบคำนวณการผสมปุ๋ย


starfer 30-20-5
สั่งกับ | ลาซาด้า | ช้อปปี้
starfer 10-40-10
สั่งกับ | ลาซาด้า | ช้อปปี้
starfer 15-5-30
สั่งกับ | ลาซาด้า | ช้อปปี้
maxza
สั่ง แม็กซ่า กับ | ลาซาด้า | ช้อปปี้



บริษัท ห้องปฏิบัติการกลาง (ประเทศไทย) จำกัด
Central Laboratory (Thailand) Co.,Ltd.

ให้บริการตรวจวิเคราะห์
ตรวจฉลากโภชนาการ
ตรวจสารสำคัญกัญชา/กัญชง
ตรวจน้ำใช้ในกระบวนการผลิต
ฟอร์มขอใบเสนอราคา
สำหรับตรวจวิเคราะห์อื่นๆ ผลิตภัณฑ์อาหาร ผลิตภัณฑ์ที่ไม่ใช่อาหาร (ตรวจวิเคราะห์ได้ทุกอย่าง) โปรดกรอก ฟอร์มขอใบเสนอราคา
ตรวจขึ้นทะเบียนปุ๋ยเคมี
ตรวจสารพิษตกค้างเพื่อการส่งออก
ตรวจผักสดปลอดเชื้อจุลินทรีย์ E. coli, Salmonella spp.
ส่งตัวอย่างมะละกอ เพื่อการทดสอบการดัดแปลงพันธุกรรม
ส่งตัวอย่างเพื่อทดสอบ ปริมาณอะฟลาทอกซินในเมล็ดแมงลัก ลูกเดือย และพริกแห้ง เพื่อส่งออกนอกราชอาณาจักร
Hardline Test Application
ปุ๋ยคุณภาพสูง
พืชทุกชนิด | ปุ๋ยทุเรียน | ปุ๋ยมันสำปะหลัง | ปุ๋ยสำหรับไร่อ้อย | ปุ๋ยนาข้าว | ปุ๋ยยางพารา | ปุ๋ยมะพร้าว | ปุ๋ยข้าวโพด | ปุ๋ยปาล์ม | ปุ๋ยสับปะรด | ปุ๋ยถั่วเหลือง | ปุ๋ยพริกไทย | ปุ๋ยกาแฟ | ปุ๋ยมะนาว | ปุ๋ยส้ม | ปุ๋ยลำไย | ปุ๋ยลิ้นจี่ | ปุ๋ยหน่อไม้ฝรั่ง | ปุ๋ยกระเจี๊ยบเขียว | ปุ๋ยมังคุด | ปุ๋ยมันฝรั่ง | ปุ๋ยหอมหัวใหญ่ | ปุ๋ยกระเทียม | ปุ๋ยหอมแดง | ปุ๋ยมะเขือเทศ | ปุ๋ยกล้วยไม้ | ปุ๋ยอินทผลัม | ปุ๋ยน้อยหน่า | ปุ๋ยชมพู่ | ปุ๋ยเงาะ | ปุ๋ยมะม่วง | ปุ๋ยมะขาม | ปุ๋ยพริก
ยาอินทรีย์แก้โรคพืช
โรคใบไหม้ | ทุเรียนใบติด | มันสำปะหลังใบไหม้ | โรคอ้อยใบไหม้ | ข้าวใบไหม้ | ยางพาราใบไหม้ | โรคมะพร้าวใบไหม้ | โรคราน้ำค้างข้าวโพด | ปาล์มใบไหม้ | โรคสับปะรด | โรคราน้ำค้างถั่วเหลือง | พริกไทยใบไหม้ | โรคกาแฟใบไหม้ | ราสนิมมะนาว | ส้มใบไหม้ | ลำไยใบไหม้ | ลิ้นจี่ใบไหม้ | หน่อไม้ฝรั่งลำต้นไหม้ | กระเจี๊ยบเขียวฝักลาย | โรคใบจุดมังคุด | มันฝรั่งใบใหม้ | โรคหอมเลื้อย | โรคใบจุดกระเทียม | โรคหอมแดง | ราแป้งมะเขือเทศ | โรคจุดสนิมกล้วยไม้ | อินทผลัมใบไหม้ | น้อยหน่าดอกร่วง | ชมพู่ใบไหม้ | เงาะใบไหม้ | มะม่วงใบไหม้ | ราแป้งมะขาม | โรคพริก
ยาเคมี กำจัดเพลี้ยต่างๆ
กำจัดเพลี้ยต่างๆทุกชนิด | เพลี้ยทุเรียน | เพลี้ยมันสำปะหลัง | เพลี้ยอ้อย | เพลี้ยข้าว | เพลี้ยยางพารา | เพลี้ยมะพร้าว | เพลี้ยข้าวโพด | เพลี้ยปาล์มน้ำมัน | เพลี้ยสับปะรด | เพลี้ยถั่วเหลือง | เพลี้ยพริกไทย | เพลี้ยกาแฟ | เพลี้ยมะนาว | เพลี้ยส้ม | เพลี้ยลำไย | เพลี้ยลิ้นจี่ | เพลี้ยหน่อไม้ฝรั่ง | เพลี้ยกระเจี๊ยบเขียว | เพลี้ยมังคุด | เพลี้ยมันฝรั่ง | เพลี้ยหอมหัวใหญ่ | เพลี้ยกระเทียม | เพลี้ยหอมแดง | เพลี้ยมะเขือเทศ | เพลี้ยกล้วยไม้ | เพลี้ยอินทผาลัม | เพลี้ยน้อยหน่า | เพลี้ยชมพู่ | เพลี้ยเงาะ | เพลี้ยมะม่วง | เพลี้ยมะขาม | เพลี้ยพริก
ยาเคมี กำจัดโรคพืช
โรคใบไหม้ | โรคทุเรียน | โรคมันสำปะหลัง | โรคอ้อย | โรคข้าว | โรคยางพารา | โรคมะพร้าว | โรคข้าวโพด | โรคปาล์ม | โรคสับปะรด | โรคถั่วเหลือง | พริกไทยใบไหม้ | โรคกาแฟ | โรคมะนาว | โรคส้ม | โรคลำไย | โรคลิ้นจี่ | โรคหน่อไม้ฝรั่ง | โรคกระเจี๊ยบเขียว | โรคมังคุด | โรคมันฝรั่ง | โรคหอม | โรคกระเทียม | โรคหอมแดง | โรคมะเขือเทศ | โรคกล้วยไม้ | โรคอินทผาลัม | โรคน้อยหน่า | โรคชมพู่ | โรคเงาะ | โรคมะม่วง | โรคมะขาม | โรคพริก
ยาอินทรีย์ กำจัดเพลี้ยต่างๆ
กำจัดเพลี้ยต่างๆทุกชนิด | เพลี้ยไก่แจ้ทุเรียน | เพลี้ยแป้งมันสำปะหลัง | เพลี้ยอ้อย | เพลี้ยศัตรูข้าว | เพลี้ยแป้งยางพารา | เพลี้ยศัตรูมะพร้าว | เพลี้ยข้าวโพด | เพลี้ยอ่อนปาล์มน้ำมัน | เพลี้ยแป้งสับปะรด | เพลี้ยอ่อนถั่วเหลือง | เพลี้ยแป้งพริกไทย | เพลี้ยแป้งกาแฟ | เพลี้ยไฟมะนาว | เพลี้ยไฟส้ม | เพลี้ยแป้งลำไย | เพลี้ยแป้งลิ้นจี่ | เพลี้ยไฟหน่อไม้ฝรั่ง | เพลี้ยจักจั่นฝ้ายกระเจี๊ยบเขียว | เพลี้ยไฟมังคุด | เพลี้ยจักจั่นมันฝรั่ง | เพลี้ยไฟหอมหัวใหญ่ | เพลี้ยไฟกระเทียม | เพลี้ยไฟหอมแดง | เพลี้ยมะเขือเทศ | เพลี้ยไฟกล้วยไม้ | เพลี้ยแป้งอินทผาลัม | เพลี้ยแป้งน้อยหน่า | เพลี้ยไฟชมพู่ | เพลี้ยแป้งเงาะ | เพลี้ยจักจั่นมะม่วง | เพลี้ยมะขาม | เพลี้ยไฟพริก
สารชีวินทรีย์ กำจัดหนอนต่างๆ
กำจัดหนอนศัตรูพืช | กำจัดหนอนทุเรียน | กำจัดหนอนมันสำปะหลัง | กำจัดหนอนกออ้อย | กำจัดหนอนในนาข้าว | กำจัดหนอนในสวนยางพารา | กำจัดหนอนมะพร้าว | กำจัดหนอนข้าวโพด | กำจัดหนอนปาล์มน้ำมัน | กำจัดหนอนสับปะรด | กำจัดหนอนถั่วเหลือง | กำจัดหนอนพริกไทย | กำจัดหนอนกาแฟ | กำจัดหนอนมะนาว | กำจัดหนอนส้ม | กำจัดหนอนลำไย | กำจัดหนอนลิ้นจี่ | กำจัดหนอนหน่อไม้ฝรั่ง | กำจัดหนอนกระเจี๊ยบเขียว | กำจัดหนอนมังคุด | กำจัดหนอนมันฝรั่ง | กำจัดหนอนหอมหัวใหญ่ | กำจัดหนอนกระเทียม | กำจัดหนอนหอมแดง | กำจัดหนอนมะเขือเทศ | กำจัดหนอนกล้วยไม้ | กำจัดหนอนอินทผาลัม | กำจัดหนอนน้อยหน่า | กำจัดหนอนชมพู่ | กำจัดหนอนเงาะ | กำจัดหนอนมะม่วง | กำจัดหนอนมะขาม | กำจัดหนอนพริก
โรงงานรับจ้างผลิตปุ๋ย OEM/ODM เป็นแบรนด์สินค้าของคุณ ปุ๋ยน้ำ ปุ๋ยเม็ด ไตรโคเดอร์มา บิวเวอร์เรีย เมธาไรเซียม จุลินทรีย์ย่อยสลาย ยาปราบฯ สารปรับสภาพดิน ปุ๋ยอินทรีย์ ปุ๋ยอินทรีย์เคมี ปุ๋ยเคมี ทำได้ทุกชนิด
เริ่มต้นเพียง 15,000 บาท
ปุ๋ยยาฯ จุลินทรีย์ต่างๆ ปุ๋ยน้ำต่างๆ ปุ๋ยน้ำอะมิโน ไตรโคฯ ประเภทน้ำ ประเภทผง บรรจุขวด บรรจุซอง ทุกชนิด ฯลฯ
เริ่มต้นเพียง 45,000 บาท
ปุ๋ยเม็ดทุกชนิด บรรจุกระสอบ 50 กิโลกรัม บิ๊กแบ็ค 1 ตันเพื่อส่งออก กระสอบ 25 กิโลกรัม ทำได้ทุกชนิด ปุ๋ยอินทรีย์ ปุ๋ยเคมี ปุ๋ยอินทรีย์เคมี สารปรับสภาพดิน อะมิโนเม็ดสกัด ฮิวมิค ฯลฯ
โทร 090-592-8614
iLab.work ผู้ใช้บริการตรวจวิเคราะห์ค่าธาตุอาหารใน ดิน น้ำ ปุ๋ย พืช กากอุตสาหกรรม มาตฐาน ISO/IEC 17025


ตรวจง่ายนับ 1 2 3 มาตฐาน ISO/IEC 17025
1.เลือกและคำนวณค่าตรวจที่หน้าเว็บ คลิก
2.ส่งดินเข้าห้อง LAB (ไปรษณีย์,เคอรี่,แฟรช)
3.อ่านผลออนไลน์ (เราจัดส่งต้นฉบับผลวิเคราะห์ ไปตามที่อยู่ที่ให้ไว้เช่นกัน)
→เริ่มกันเลย เลือกค่าที่ต้องการวิเคราะห์
[มีชุดโปรฯแนะนำลดพิเศษ หรือเลือกเองได้]
กำจัดเชื้อรา สาเหตุของโรคราสนิม ในกัญชา กัญชง ไตรโคเดอร์มา ไตรโคเร็กซ์ ปลอดภัยต่อคนและสัตว์เลี้ยง
Update: 2566/01/21 12:16:40 - Views: 4109
มะระ ปุ๋ยสำหรับมะระ มะระจีน มะระขี้นก มะระต่างๆ ปุ๋ยน้ำสำหรับมะระ ฉีดพ่น FK-1
Update: 2564/10/06 00:14:31 - Views: 3143
ยาป้องกัน กำจัด หนอน ออกฤทธิ์กับหนอนทุกชนิด ใช้ได้ทุกพืช ไอกี้-บีที + FK ธรรมชาตินิยม บำรุง ฟื้นตัว แข็งแรง ออกดอก ติดผล
Update: 2564/08/11 23:26:11 - Views: 3085
ควบคุมวัชพืชในสวนพริกด้วยคาร์รอน (Diuron 80% WG): กลยุทธ์ที่มีประสิทธิภาพในการควบคุมและรักษาสวนลำไย
Update: 2567/02/13 09:19:36 - Views: 172
ยาแก้โรคราน้ำค้างแตงโม โรคแตงโมเถาเหี่ยว ยารักษาโรคแตงโม โรคราต่างๆ ใช้ ไอเอส + FKธรรมชาตินิยม
Update: 2564/09/24 03:47:43 - Views: 3190
โรคราน้ำค้าง แตงร้าน แตงกวา พืชตระกูลแตง แก้ได้ด้วย ไอเอส
Update: 2562/08/14 15:04:47 - Views: 3245
วิธีปลูกกระชาย สมุนไพรมากสรรพคุณ ทำอาหารได้หลายเมนู
Update: 2564/08/12 00:22:50 - Views: 3014
ทุเรียน ใบไหม้ ราดำ ราแป้ง กำจัดโรคทุเรียน จากเชื้อราต่างๆ ปลอดสารพิษ ไอเอส และ FK-T(ใช้ได้ทุกพืช)โดย FK
Update: 2565/10/24 09:47:20 - Views: 3012
อินทผาลัม โตไว ใบเขียว ผลใหญ่ ผลผลิตดี ฉีดพ่นปุ๋ย FK-1 ต้นทุนต่อไร่ถูกกว่าปุ๋ยเม็ด 4เท่า เพิ่มผลผลิตสูงสุด 20เปอร์เซ็นต์
Update: 2566/04/08 10:59:04 - Views: 3102
การรับมือกับโรคเหี่ยวในผักกาดขาวปลี: สูตรควบคุมและป้องกันการระบาดจากเชื้อรา
Update: 2566/11/15 13:09:21 - Views: 363
กำจัดหญ้า กำจัดวัชพืช คุมหญ้า กำจัดวัชพืชใบแคบและใบกว้าง คาร์รอน เพื่อการควบคุมวัชพืชอย่างมีประสิทธิภาพ
Update: 2566/09/27 14:17:54 - Views: 478
แก้ทุเรียนเล็กใบไหม้ ใบแห้ง ยอดไหม้ ใบเหลือง เพราะโรคจากเชื้อรา ใช้ ไอเอส
Update: 2564/05/07 12:21:17 - Views: 6204
ปุ๋ยสำหรับพริก ปุ๋ยน้ำสำหรับพริก ปุ๋ยบำรุงพริก ส่งเสริมการเจริญเติบโต ฉีดพ่น FKธรรมชาตินิยม
Update: 2564/09/14 05:03:51 - Views: 3113
การป้องกันและกำจัดโรคเชื้อราในต้นมะพร้าวน้ำหอม
Update: 2566/05/06 10:31:36 - Views: 3093
กำจัดเชื้อรา สาเหตุของโรคใบจุดก้างปลา ใน ยางพารา ไตรโคเดอร์มา ไตรโคเร็กซ์ ปลอดภัยต่อคนและสัตว์เลี้ยง
Update: 2566/01/17 13:29:01 - Views: 3133
กำจัดแมลงศัตรูพืช ยาฆ่าไรแดง ในมังคุด และ พืชทุกชนิด บิวทาเร็กซ์ โดย ไดโนเร็กซ์
Update: 2566/02/01 09:51:14 - Views: 3071
หนอนพริก แมลงวันพริก หนอนแมลงวัน ศัตรูพริก ป้องกันและกำจัดด้วย ไอกี้-บีที
Update: 2564/02/26 06:22:10 - Views: 3186
ยารักษาโรคพืช กำจัดโรคราแป้ง ใน มะเขือเทศ โรคที่เกิดจากเชื้อรา ฉีดพ่นไอเอสใช้ได้กับพืชทุกชนิด(ขนาด 3 ลิตร ใช้ได้15 ไร่)
Update: 2566/05/31 11:46:20 - Views: 3044
โรคราน้ำค้างแตงโม แตงโมใบไหม้ โรคเชื้อราในแตงโม ใช้ ไอเอส และ FK-1
Update: 2566/02/26 10:43:05 - Views: 3163
ปาล์มน้ำมัน ยางพารา ภาคใต้ เป็นที่ยอมรับทั้งภาครัฐและเอกชน
Update: 2563/06/20 11:31:06 - Views: 3082
GA4 © FarmKaset.ORG | สถาบันอนุญาโตตุลาการ : 2022